หลักการและเหตุผล :
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่กำกับดูแล ส่งเสริม และพัฒนาการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีความมั่นคงและ มีเสถียรภาพตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรประกันภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย เพื่อสร้างและส่งเสริมศักยภาพบุคลากรทั้งในและนอกระบบประกันภัยให้มีความรู้ด้านการประกันภัย และพร้อมรองรับการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในอนาคต
จากสภาพการณ์ในปัจจุบัน สังคมโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risks) ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในหลายมิติ ได้แก่ ๑. มิติการเกิด Digital Disruption ซึ่งมาพร้อมกับภัยคุกคามทาง ไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ๒. มิติความเสี่ยงจากโรคอุบัติใหม่ (Emerging Disease) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID – 19) ที่แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง และสถานการณ์คลี่คลายลงในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดและมีสายพันธุ์ใหม่ ๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๓. มิติด้านสิ่งแวดล้อม โลกกำลังประสบปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นผลกระทบขนาดใหญ่ที่เกิดจากสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดมหันตภัยทั้งอุทกภัยและวาตภัยซึ่งมีความถี่และความรุนแรงที่สูงขึ้น อีกทั้งการโจมตีของคลื่นความร้อน (Heat Wave) ได้คร่าชีวิตประชาชนในประเทศแถบอเมริกาเหนือเป็นจำนวนมาก ๔. มิติทางเศรษฐกิจซึ่งในปัจจุบันเกิดภาวะเงินเฟ้อพร้อมๆ กันทั่วโลกอันส่งผลมาจากการขาดแคลนปัจจัยการผลิต ความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะสงคราม และปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID – 19) ๕. มิติด้านสังคม การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (Completely Aged Society) ส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงาน และรัฐต้องรับภาระในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุทั้งในด้านการรักษาพยาบาลและสวัสดิการต่าง ๆ
ท่ามกลางความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การดำเนินธุรกิจภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ การให้บริการที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ส่งผลให้มิติของการกำกับดูแลไม่สามารถดำเนินการลำพังแต่เพียงหน่วยงานเดียวได้ จึงจำเป็นต้องบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนควรมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบประกันภัย และความรู้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคงยั่งยืน
สำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในเรื่องดังกล่าว จึงได้จัด “การศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) (Thailand Insurance Leadership Program) รุ่นที่ ๑๑ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖” ขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันภัย ทั้งการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยในด้านต่าง ๆ พัฒนาการของระบบประกันภัย ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสริมสร้างการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม และการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยสอดคล้องกับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก เพื่อจะได้ระดมความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่หลากหลาย ช่วยให้ข้อเสนอแนะและพัฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถทำหน้าที่เป็น Insurance Ambassador โดยเป็นผู้สื่อสารความรู้ความเข้าใจ และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องของการประกันภัยให้สังคมและสาธารณชนได้
วัตถุประสงค์ :
๓.๑ เพื่อสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจด้านการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
๓.๒ เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจประกันภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการบริหารธุรกิจประกันภัย
๓.๓ เพื่อเสริมสร้างทักษะ และพัฒนาผู้บริหารให้บริหารงานเชิงกลยุทธ์อย่างสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓.๔ เพื่อพัฒนาให้ผู้บริหารมีภาวะความเป็นผู้นำที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม และวิสัยทัศน์ในการบริหารงานองค์กร และพัฒนาระบบประกันภัยให้มีความเจริญก้าวหน้า สามารถแข่งขันในระดับโลก
๓.๕ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นจากมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่าง เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
ระยะเวลาอบรม : 3 กุมภาพันธ์ 2566 - 23 กรกฎาคม 2566