แนวทางการตรวจสอบ

การประกันภัยต่อเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการบริหารความเสี่ยงของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ซึ่งการประกันภัยต่อได้ถูกนํามาใช้เพื่อการกระจายความเสี่ยง ลดความเสี่ยง ตลอดจนลดความผันผวน ทางการเงิน อันเนื่องมาจากการรับประกันภัยหรือการมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันภัยกับผู้เอาประกันภัย นอกจากนี้ การประกันภัยต่อยังมีบทบาทที่สําคัญในการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการรับประกันภัย (capacity) ความมั่งคงทางการเงิน สภาพคล่อง ความเพียงพอของเงินกองทุน รวมถึงการพึ่งพาความชํานาญ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากผู้รับประกันภัยต่อ ตลอดจนช่วยให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถรับมือกับ เหตุการณ์พิบัติภัยต่างๆ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว สึนามิ โรคระบาด และแผ่นดินถล่ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การประกันภัยต่อมิได้ปลดภาระความรับผิดชอบของบริษัทประกันวินาศภัย ในฐานะผู้รับประกันภัยที่มีต่อผู้เอาประกันภัยลงได้ โดยที่บริษัทประกันวินาศภัยยังคงต้องชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนทั้งหมดภายใต้สัญญาประกันภัยที่บริษัทได้รับประกันภัยไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้เรียกร้องสิทธิ แม้ว่าผู้รับประกันภัยต่อจะล้มละลายหรือปิดกิจการ ในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยอาศัยการประกันภัยต่อ อย่างมีนัยสําคัญในการลดความเสี่ยงจากการรับประกันภัย ความบกพร่องของการจัดการการประกันภัยต่อ อาจกระทบต่อสภาพคล่องหรือฐานะทางการเงินของบริษัทประกันวินาศภัยได้

ขณะเดียวกัน บริษัทประกันวินาศภัยอาจดําเนินการรับประกันภัยต่อจากบริษัทประกันภัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือจากการรับประกันภัยโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทประกันวินาศภัยมีความเสี่ยง จากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้นทั้งในเรื่องของการกระจุกตัวของภัย การสะสมภัยในหนึ่งเขตพื้นที่รับประกันภัย ตลอดจนความสามารถในการบริหารความเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น กลยุทธ์การบริหารการประกันภัยต่อ จึงมีบทบาทสําคัญในการสร้างความมั่นใจว่าบริษัทประกันวินาศภัยจะมีความสามารถในการปฏิบัติตามภาระ ผูกพันที่มีตามสัญญาประกันภัยหรือสัญญารับประกันภัยต่อได้ ทั้งนี้การบริหารและการควบคุมการเอาประกันภัย ต่อหรือการเอาประกันภัยต่อช่วง (Retrocession) รวมถึงการรับประกันภัยต่อควรสอดคล้องและเหมาะสมกับ ลักษณะความเสี่ยง และนโยบายบริหารความเสี่ยง รวมถึงระดับเงินกองทุนของบริษัท

ไทย