ข่าว

คปภ. ตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านประกันภัย เพื่อช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบกรณีน้ำท่วม

< >
วันที่เผยแพร่: 
13 กันยายน 2565

คปภ. ตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านประกันภัย เพื่อช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบกรณีน้ำท่วม พร้อมกำชับสำนักงาน ภาค/จังหวัดทั่วประเทศให้เตรียมพร้อมบูรณาการร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยในการลงพื้นที่อำนวยความสะดวกกับประชาชนอย่างเต็มที่

 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศในประเทศไทยที่มีฝนตกหนักถึงหนักมากและในหลายพื้นที่มีน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นอย่างมากและได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาคกำหนดมาตรการในการดูแลช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการและประสานงานด้านประกันภัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วม ณ สำนักงาน คปภ. ส่วนกลาง สำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ สำนักงาน คปภ. เขตบางนา สำนักงาน คปภ. ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัดทั่วประเทศ โดยศูนย์ดังกล่าวมีหน้าที่อำนวยการและประสานงานด้านประกันภัยในการรับแจ้ง ตรวจสอบข้อมูลและเอกสารการจัดทำประกันภัย รวมทั้งติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ประชาชนผู้เอาประกันภัย และบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย เพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ 
อีกทั้งยังได้กำหนดช่องทางในการอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือประชาชนผู้ประกันภัยในการแจ้งข้อมูลด้านการประกันภัย โดยเพิ่มช่องทางในการแจ้งข้อมูลการช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายสามารถแจ้งข้อมูลและขอรับการช่วยเหลือด้านการประกันภัย ผ่านช่องทาง E-mail : floodppd@oic.or.th มายังสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ หลังจากนั้นสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์จะรวบรวมตรวจสอบ และประสานไปยังบริษัทประกันภัยเพื่อให้การดูแลด้านประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยต่อไป ทั้งนี้ ได้มอบหมายผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์เป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการและประสานงานด้านประกันภัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วม
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ยังได้มีหนังสือถึงนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และนายกสมาคมประกันชีวิตไทย ให้แจ้งบริษัทสมาชิก ได้ติดตามสถานการณ์และกำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัย พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบความเสียหายเพื่อเตรียมพร้อมในการพิจารณาชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม นอกจากนี้ ได้สั่งการให้สำนักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประสบภัยรีบสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สิน โดยเฉพาะรถยนต์ที่มักจะได้รับความเสียหายเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติตามมาตรฐานการซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000-20,000 บาท ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป และระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้บริษัทจะคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัย
ทั้งนี้ ขอให้ผู้เอาประกันภัยแสดงรายละเอียดของความสูญเสียและมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นของทรัพย์สิน ส่วนกรณีเสียชีวิตให้ทายาทแสดงหลักฐานสำเนาใบมรณบัตร และสำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นขอให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยที่ได้ซื้อไว้ว่าให้ความคุ้มครองภัยน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร โดยกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองถึงภัยน้ำท่วม อาทิ เช่น การประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 การประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินและการประกันอัคคีภัยที่ซื้อความคุ้มครองน้ำท่วมเพิ่มเติม การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น การประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความคุ้มครองกลุ่มภัยธรรมชาติอีก 4 ภัย (น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหวและลูกเห็บ) รวม 20,000 บาทต่อปี และการประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ซึ่งให้ความคุ้มครองกลุ่มภัยธรรมชาติ 4 ภัย (น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหวและลูกเห็บ) รวม 10,000 บาทต่อปี
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความห่วงใยและขอส่งกำลังใจไปยังผู้ประสบภัยน้ำท่วมในทุกพื้นที่ และขอให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักว่าปัจจุบันภัยธรรมชาติได้สร้างความสูญเสียหรือความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอยู่บ่อยครั้ง และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากประชาชนทำประกันภัยไว้ก็จะเป็นการช่วยบรรเทา เยียวยาความเดือดร้อนและความเสียหายทางการเงินที่จะเกิดขึ้นภายหลังได้ ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต หรือการประกันภัยทรัพย์สินต่าง ๆ โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมจะดูแลเพื่อให้ระบบประกันภัยเยียวยาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือมีปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือติดต่อได้โดยตรง ณ สำนักงาน คปภ. ภาค/จังหวัด ทั่วประเทศ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
............................................................................
 
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำหรับบุคคลภายนอก ประจำปี 2565

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดหลักสูตร “สุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
03 กันยายน 2565

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดหลักสูตร “สุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง

(Super วปส.) รุ่นที่ 2” สำนักงาน คปภ. 
มอบนโยบายประกันภัยเชิงรุกตอบโจทย์ความเสี่ยงใหม่แนะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เต็มรูปแบบ
พร้อมให้ระบบประกันภัยต้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน   
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษและเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) (Thailand Insurance Super Leadership Program) รุ่นที่ 2 ณ ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาวิธีการ สร้างสรรค์แนวคิด องค์ความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรและการดำเนินธุรกิจทั้งการบริหารความเสี่ยง นวัตกรรมประกันภัยแบบใหม่ การบริหารจัดการองค์กร ผ่านการอภิปราย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ และเสนอข้อคิดเห็น ในเชิงสร้างสรรค์ระหว่างผู้เข้ารับการศึกษาอบรม รวมทั้งให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมสามารถรวบรวมแนวคิด ทั้งในด้านการบริหารธุรกิจ การบริหารรัฐกิจ เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง และการประกันภัย ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งของไทยและของโลก สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ
 
ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการขับเคลื่อนระบบประกันสุขภาพเพื่อสังคมผู้สูงอายุและความยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทย” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศต้องเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้ภาครัฐ ภาคเอกชนต้องปรับตัวเรื่องการทำงานที่บ้าน Work From Home การใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น และต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งจะต้องนำการประกันภัยมาช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับประชาชน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการโครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรสำหรับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ การประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นหลักประกันให้เกษตรกรผ่านระบบประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยง และได้ดำเนินการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่คาดการณ์ไม่ได้ อาจจะทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด แต่จะช่วยลดภาระภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกร ช่วงที่ผ่านมาระบบสาธารณสุขและการแพทย์ของเรามีความเข้มแข็ง และระบบประกันภัยได้มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนบริหารจัดการความเสี่ยงภายใต้สถานการณ์โควิด 
 
นอกจากนี้ได้มอบนโยบายที่ควรให้ความสำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้ 1. การประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เขื่อนชลประทาน ถนน สนามบิน ท่าเรือ และการประกันภัยทรัพย์สินของทางราชการ การประกันภัยรถยนต์ของราชการ 2. การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ Climate Change ควรนำระบบประกันภัยเกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาช่วยอุตสาหกรรมในการบริหารความเสี่ยงและการใช้ระบบประกันภัยมาช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงโรคระบาดซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทั่วโลกที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือ และ 3. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการประกอบธุรกิจ ดิจิทัลเทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจ การบริหารราชการแผ่นดิน การนำเทคโนโลยีมาใช้ดำเนินการธุรกิจ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน 
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิดนั้น ทำให้การทำธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ โครงการของรัฐบาลก็มีส่วนที่ใช้ Mobile Application โดยเฉพาะโครงการเยียวยาประชาชน ช่วงสถานการณ์โควิดมีหลายโครงการ เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราชนะนั้นเป็นการใช้การทำธุรกรรมทางมือถือ ระบบการลงทะเบียน การยืนยันตัวตน การโอนเงินจากรัฐบาลไปสู่กระเป๋าเงินประชาชน โรงแรมต่าง ๆ ก็ทำผ่าน Mobile Application เช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่งที่อยู่ในช่วงเฟส 5 เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนทั้งหมดจากการลดค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะประชาชนในระดับฐานราก ระบบประกันภัยก็จะต้องเร่งสนับสนุนให้ประชาชนผู้ใช้บริการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Application เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อลดต้นทุนของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้วย จะทำให้ลดต้นทุนการเดินทางการมาติดต่อราชการ และอีกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องในสถานการณ์โควิด คือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ประชาชนก็จะตระหนักเรื่องดูแลสุขภาพจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลคือการนำเทคโนโลยีเครื่องมือ Automation ต่าง ๆ เข้ามาใช้ไม่ว่าจะเป็น Technology Digital , Artificial Intelligence (AI) , Internet of Things (IoT) มาใช้ในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) 
ธุรกิจประกันภัยเป็นแหล่งเงินออมที่สำคัญอย่างหนึ่ง เรื่องของจำนวนประชากรที่ปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ระบบประกันชีวิตจะมีการเติบโต ส่งผลให้ประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าธุรกิจประกันภัยจะเป็นแหล่งเงินออมที่สำคัญในตลาดทุน การใช้มาตรการในการกำกับและส่งเสริมสิทธิประโยชน์กับประชาชน การสร้างแรงจูงใจ การสร้างธุรกิจ การดำเนินนโยบายรัฐบาล ให้สอดคล้องแนวโน้มของโลก ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันให้ประกันภัยมีการเติบโตผ่านกลไกที่มีความหลากหลาย   
 
ทางด้าน ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวถึงความเป็นมาของหลักสูตร Super วปส. ว่าหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) (Thailand Insurance Super Leadership Program) รุ่นที่ 2 เป็นหลักสูตรที่มีการต่อยอดจากหลักสูตร วปส. และหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 1 เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงระดับผู้นำองค์กรจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์เชิงวิเคราะห์ การบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการประกันชีวิต การประกันวินาศภัย เทคโนโลยี การเงิน การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนการนำเสนอแนวทางและการประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสริมสร้างการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมจริยธรรม และการบริหารจัดการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ โดยสอดคล้องกับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของโลก ตลอดจนการเพิ่มบทบาทของระบบประกันภัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
 
สำหรับหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 2 ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาให้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหารที่เข้ารับการศึกษาอบรมได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยมีการคัดเลือกศิษย์เก่าหลักสูตร วปส. ตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 10 ที่มีประวัติการเรียนดีเด่น เข้าร่วมกิจกรรมของหลักสูตร วปส. อย่างสม่ำเสมอ หรือทำประโยชน์ต่อสำนักงาน คปภ. หรือต่อระบบประกันภัย และผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. รวมทั้งสิ้น 50 คน เพื่อเข้ารับการอบรมในหลักสูตรนี้ ซึ่งประกอบด้วย ภาคเอกชน จำนวน 22 คน ภาครัฐ จำนวน 6 คน ภาคการเงิน จำนวน 6 คน และภาคธุรกิจประกันภัย จำนวน 16 คน โดยจัดอบรมตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม 2565 เรียน 1 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 13 ครั้ง ซึ่งในหลักสูตรจะมีกิจกรรม ดังนี้ 1. บรรยายสัมมนา อภิปราย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิเคราะห์เชิงวิพากษ์ และเสนอความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ โดยเน้นให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมอภิปราย Debate กันเพื่อแสวงหาวิธีการ แนวคิดในรูปแบบใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาตามที่วิทยากรได้หยิบยก 2. การประมวลผลความรู้ สรุปแนวความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ และนำเสนอโดยคณะผู้เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาอบรมคาบสุดท้าย 3. การศึกษาดูงานภายในประเทศและต่างประเทศ และ 4. กิจกรรมเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม
 
“หลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 2 จะทำให้ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมสามารถสร้างสรรค์แนวคิด องค์ความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรและการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการบริหารธุรกิจ การบริหารรัฐกิจ เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง นวัตกรรมประกันภัยแบบใหม่ การบริหารจัดการองค์กร ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งของไทยและของโลกได้ทันท่วงที สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสำนักงาน คปภ. จะน้อมนำนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาปฏิบัติในการขับเคลื่อนการกำกับดูแลด้านประกันภัยเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีเด็กนักเรียนหญิงวัย 7 ขวบ เสียชีวิตในรถตู้รับ-ส่งนักเรียนที่ชลบุรี

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
02 กันยายน 2565

คปภ. ลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีเด็กนักเรียนหญิงวัย 7 ขวบ เสียชีวิตในรถตู้รับ-ส่งนักเรียนที่ชลบุรี

ตรวจพบว่ารถตู้คันเกิดเหตุมีการทำประกันพ.ร.บ.- ภาคสมัครใจและโรงเรียนมีการทำประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มนักเรียนไว้ด้วย   
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเด็กนักเรียนหญิงอายุ 7 ขวบ ติดภายในรถตู้รับ-ส่งนักเรียนหมายเลขทะเบียน 1 นข 5421 กรุงเทพมหานคร นานกว่า 8 ชั่วโมง จนทำให้เสียชีวิต บริเวณลานจอดรถของโรงเรียนเพลินจิตวิทยา เลขที่ 69/1 หมู่ 10 ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรี ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนคนดังกล่าวตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัย และใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของเด็กนักเรียนหญิงรายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย พบว่า รถตู้รับ-ส่งนักเรียน หมายเลขทะเบียน 1 นข 5421 กรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) 
เริ่มความคุ้มครองวันที่ 7 มกราคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 13 ตุลาคม 2565 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน 
 
นอกจากนี้ รถตู้รับ-ส่งนักเรียนคันดังกล่าว ทำประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 3 ไว้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 22 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 22 เมษายน 2566 โดยให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย 500,000 บาท/คน และความคุ้มครองเอกสารแนบท้ายอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพของผู้โดยสาร 50,000 บาท/คน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังตรวจสอบพบว่า โรงเรียนเพลินจิตวิทยา ได้ทำประกันภัยอุบัติเหตุกุล่ม นักเรียน/นิสิต 
ไว้กับบริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 15 พฤษภาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 จำนวนเงินเอาประกันภัย กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพสิ้นเชิง 60,000 บาท ค่ารักษาพยาบาล 6,000 บาท/ครั้ง
 
สำหรับการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของเด็กนักเรียนหญิงรายนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรี ได้ประสาน บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และโรงเรียนเพลินจิตวิทยา รวมทั้งได้ลงพื้นที่เพื่อชี้แจงสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยให้กับครอบครัวของเด็กนักเรียนหญิงรายนี้แล้ว และได้รับแจ้งจากบริษัทประกันภัยว่าพร้อมจ่ายค่าสินไหมทดแทนทันที หากทราบผลทางคดี ซึ่งในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาคนขับรถตู้ และครูเวรประจำรถรับส่งนักเรียนในข้อหากระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม 
ทั้งนี้ หากผลทางคดีสรุปว่าคนขับรถตู้กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ในเบื้องต้นผู้ปกครองของนักเรียนหญิงรายนี้จะได้รับเงินจากการที่รถตู้รับ-ส่งนักเรียนทำประกันภัยไว้เป็นเงิน 1,110,000 บาท
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของเด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวและพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน จึงควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ 
ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
  ..........................................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

“คปภ. - สอบสวนกลาง” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลดำเนินคดีผู้กระทำความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
24 สิงหาคม 2565

“คปภ. - สอบสวนกลาง” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลดำเนินคดีผู้กระทำความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย

ตำรวจสังกัดสอบสวนกลาง จับผู้ต้องหาแล้ว 14 ราย พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย หรือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยโดยรวม
 
  ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้บูรณาการร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินคดีและการประสานข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมระหว่าง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กับ พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) โดยมีนายชัยยุทธ มังศรี รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน ณ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือในการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และเปิดเผยข้อมูลดิจิทัลเกี่ยวกับข้อมูลการฉ้อฉลประกันภัย ที่มีการจัดทำและครอบครองโดยสำนักงาน คปภ. เพื่อประโยชน์ในการสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน รวมทั้งประสานงานดำเนินการทางคดีที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย หรือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
 
สำหรับขอบเขตความร่วมมือดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้มี 4 ประเด็นหลัก ๆ คือ ประเด็นแรก สำนักงาน คปภ. และ บช.ก. จะเชื่อมโยงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลเกี่ยวกับข้อมูลการประกันภัย และข้อมูลการฉ้อฉลประกันภัย ที่มีการจัดทำและครอบครองโดยสำนักงาน คปภ. ตามที่ได้รับการร้องขอจาก บช.ก. เพื่อประโยชน์ในการสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
 
ประเด็นที่ 2 บช.ก. จะพัฒนาและเชื่อมโยงระบบตรวจสอบบุคคลเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมกับสำนักงาน คปภ. ตามช่องทางที่ได้ตกลงกัน
ประเด็นที่ 3 บช.ก. จะประสานงานและดำเนินการทางคดีให้สำนักงาน คปภ. เกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย หรือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
และประเด็นที่ 4  ในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ สำนักงาน คปภ. และ บช.ก. ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการข้อมูลข่าวสารของราชการ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ เป็นต้น และต้องไม่นำข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่เจ้าของข้อมูล หากมีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการกระทำของผู้ที่นำข้อมูลไปใช้จะต้องรับผิดทั้งในทางอาญา หรือทางแพ่งแล้วแต่กรณี
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า จากความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านประกันภัยระหว่างสำนักงาน คปภ. และ บช.ก. อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดด้านฉ้อฉลประกันภัยมีความรอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยเห็นได้จากความคืบหน้าของการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดด้านประกันภัย ตามที่สำนักงาน คปภ. ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ก่อนหน้านี้ จึงได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ มังศรี รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี ร่วมแถลงข่าวกับ พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) เกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกร้องทุกข์กล่าวหาดังกล่าว โดย พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงาน คปภ. เข้าหารือและร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัยจำนวน 27 เรื่อง เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ต่อจากนั้นพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ได้ดำเนินการขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 23 ราย ต่อศาลอาญา และได้ติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่ปลอมเอกสารผลการตรวจโรคโควิด-19 เพื่อนำไปเรียกร้องผลประโยชน์จากการทำประกันโดยทุจริต จำนวน 11 ราย และจับกุมตัวแทนบริษัทประกันชีวิตที่หลอกลวงให้คนทั่วไปเข้าทำสัญญาประกันชีวิต แต่ภายหลังกลับไม่ได้ดำเนินการให้มีการทำสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นหรือไม่ดำเนินการรักษาสถานะของสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว จำนวน 3 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 14 ราย จาก 23 ราย โดยพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
“การฉ้อฉลประกันภัยส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้เอาประกันภัยผู้บริสุทธิ์และเป็นอันตรายต่อระบบประกันภัย โดยการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยในครั้งนี้ เพื่อบังคับใช้บทบัญญัติในเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันมิให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉวยโอกาส สำนักงาน คปภ. จะร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอย่างเต็มที่ในการบังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชนและระบบประกันภัยของไทยให้มีความมั่นคงบนความเชื่อมั่นของประชาชนที่ยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
.................................................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการสอบสัมภาษณ์เพื่อรับทุนการศึกษาสำหรับบุคคลภายนอก ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ประจำปี 2565

ผู้ว่า กทม. ร่วมเป็นสักขีพยานในการที่บริษัทประกันมอบสินไหมกรณีพนักงานสวนสาธารณะ กทม.ถูกรถชนเสียชีวิต

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
16 สิงหาคม 2565

ผู้ว่า กทม. ร่วมเป็นสักขีพยานในการที่บริษัทประกันมอบสินไหมกรณีพนักงานสวนสาธารณะ กทม.ถูกรถชนเสียชีวิต โดย คปภ. เร่งบูรณาการและลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างเต็มที่

 

  ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 2ฒธ-26 กรุงเทพมหานคร เสียหลักพุ่งชนพนักงานสวนสาธารณะ 2 ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ขณะปฏิบัติหน้าที่ตัดต้นไม้บริเวณเกาะกลางถนนเสียชีวิต โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงาน คปภ. เขตบางนา ในฐานะที่รับผิดชอบพื้นที่ที่เกิดเหตุ และฝ่ายสำนักนายทะเบียนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

 

ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากระบบรายงานข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับว่า รถยนต์คันเกิดเหตุหมายเลขทะเบียน 2ฒธ-26 กรุงเทพมหานคร ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (...) ไว้กับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 18 ตุลาคม 2565 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000 - 500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยรถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจไว้แต่อย่างใด

 

สำหรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ในเบื้องต้นจะได้รับค่าสินไหมทดแทน จำนวน 500,000 บาท โดยสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงาน คปภ. เขตบางนา และฝ่ายสำนักนายทะเบียนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ บูรณาการความร่วมมือกับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นสักขีพยานร่วมกับนางสาวสิริพักตร์ สุวรรณทัต ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสำนักนายทะเบียนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ สำนักงาน คปภ. ในการส่งมอบค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว

 นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภาย

หลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น เพิ่มเติมอีก จะเร่งรัดให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมต่อไป 

 

 

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงฤดูฝนอาจทำให้พื้นผิวการจราจรมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงขอให้ผู้ใช้รถตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถ รวมทั้งเมาไม่ขับปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และเพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (...) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
15 สิงหาคม 2565

คปภ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เผยรถยนต์โดยสารของคณะพยาบาลศาสตร์ ซึ่งวิ่งรับส่งนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์และรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาแพทย์ที่เสียชีวิตมีประกันภัย พ.ร.บ. เบื้องต้นครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับค่าสินไหมทดแทน 500,000 บาท ด้านบริษัทประกันภัยนัดจ่ายค่าสินไหมในวันที่ 17 สิงหาคมนี้
 
  ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) 
เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์โดยสารของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หมายเลขทะเบียน 40-0329 ขอนแก่น ซึ่งวิ่งรับส่งนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขงว 523 นครปฐม เป็นเหตุให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นคนซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนคนขับรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะแพทย์เช่นเดียวกันได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่นว่า รถยนต์โดยสารของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หมายเลขทะเบียน 40-0329 ขอนแก่น ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นคุ้มครองวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 6 มกราคม 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000 - 500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยรถยนต์โดยสารของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจไว้แต่อย่างใดในส่วนของรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขงว 523 นครปฐม ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เริ่มต้นคุ้มครองวันที่ 21 มีนาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 21  มีนาคม 2566
 
สำหรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน 
ขงว 523 นครปฐม ที่เสียชีวิต ในเบื้องต้นครอบครัวจะได้รับค่าสินไหมทดแทน จำนวน 500,000 บาท โดยบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) นัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนในวันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ส่วนผู้บาดเจ็บจะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาลสูงสุดจำนวน 80,000 บาท โดยสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ได้ประสานโรงพยาบาลเพื่อแจ้งสิทธิประโยชน์ของผู้บาดเจ็บที่จะได้รับจากระบบประกันภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงฤดูฝนอาจทำให้พื้นผิวการจราจรมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จึงขอให้ผู้ใช้รถตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถ รวมทั้งเมาไม่ขับ
ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และเพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
...............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. - สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เดินหน้าตามพันธกิจ MOU

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
12 สิงหาคม 2565

สำนักงาน คปภ. - สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เดินหน้าตามพันธกิจ MOU

ร่วมเปิดตัว “โครงการคุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา” ผนึกกำลังสร้างเกราะคุ้มภัยด้านประกันภัยให้เกษตรกรไทย ประเดิมด้วยการมอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อเกษตรอาสาฉบับแรกของประเทศไทย จำนวน 20,000 ฉบับ
 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้บูรณาการความร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เดินหน้าตามพันธกิจที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ด้วยการเปิดตัว “โครงการคุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา” โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการฯ และมี นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 
 
ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวอาร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ณ ห้องประชุม 3 อาคารนวัตกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
 
ในโอกาสนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวเปิด “โครงการคุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินนโยบายเพื่อยกระดับรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย โดยมีกลุ่มอาสาสมัครเกษตรเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านการเกษตรในพื้นที่ ประสานงานและเชื่อมโยงเกษตรกรกับหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรร่วมกัน  ดังนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมมือกับ สำนักงาน คปภ. ดำเนินโครงการ “คุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา” เพื่อให้ความคุ้มครองเกษตรกร โดยได้นำร่องให้กับอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) และ เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) เป็นกลุ่มแรก รวม 20,000 กรมธรรม์ เพราะนอกจาก อกม. และ ศกอ. จะมีอาชีพด้านการเกษตร คือ ทำการผลิตการเกษตรของตนเองแล้ว ยังมีบทบาทภารกิจต่าง ๆ ที่จะดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่และเกษตรกร ทั้งด้านการลงพื้นที่เพื่อร่วมสำรวจ รวบรวมข้อมูล การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาแก่เกษตรกร ตลอดจนการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งการเดินทางและปฏิบัติภารกิจที่มากมาย
“ผมขอขอบคุณ เลขาธิการ คปภ. บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีคิวอาร์ จำกัด (มหาชน) ที่นำความคุ้มครองในรูปแบบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ มอบให้กับเกษตรกร อกม. และ ศกอ. เพื่อสร้างความเข้มแข็ง เสริมภูมิคุ้มกัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมีการต่อยอดจากโครงการนี้ในเฟสต่อ ๆ ไปเพื่อนำระบบประกันภัยใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป”
 
ด้าน นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (เลขาธิการ สศก.) กล่าวว่า สำหรับ อกม. และ ศกอ. ที่สนใจทำประกันอุบัติเหตุในโครงการนี้ สามารถสมัครได้ผ่านระบบออนไลน์ QR Code ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นในการสมัคร ก็สามารถรับความคุ้มครองประกันอุบัติเหตุได้ทันที โดยความร่วมมือระหว่าง สศก. และสำนักงาน คปภ. จะยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบกันภัยภาคเกษตรร่วมกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือ ดูแล และคุ้มครองพี่น้องเกษตรกร ซึ่งดำเนินการร่วมกันภายใต้ “คณะกรรมการความร่วมมือพัฒนาระบบประกันภัยการเกษตร” ในการกำหนดทิศทางและแนวทางในการดำเนินการ ทั้งการขยายขอบเขตของการประกันภัยในปัจจุบันไปสู่สินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ  นอกเหนือไปจากข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามนโยบายของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจ พืชรอง หรือสินค้าเกษตรที่มีอนาคตทางการตลาดสูง รวมทั้งสร้างแรงจูงใจ สนับสนุนให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการคุ้มครองความเสี่ยงโดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทางการเงินของตนเองอย่างเป็นระบบ
 
ทั้งนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวเสริมในประเด็นที่มาของการจัดทำโครงการคุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา และพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย เพื่อเกษตรอาสา (ไมโครอินชัวรันส์) ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการสำนักงาน คปภ. ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยการเกษตร กับ สศก. จึงได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยเพื่อเกษตรอาสา (ไมโครอินชัวรันส์) ซึ่งนับเป็นกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุฉบับแรกของประเทศไทยที่มุ่งเน้นให้กับเกษตรกรได้ใช้ระบบการประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง โดยกรมธรรม์ดังกล่าวให้ความคุ้มครอง ดังนี้
- กรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท
  - กรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท
- ผลประโยชน์ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 15 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท
  - ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในกรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ จะได้รับค่าชดเชย 200 บาทต่อวัน (สูงสุดไม่เกิน 60 วัน)
- ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในในห้อง ICU กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ จะได้รับค่าชดเชย 400 บาทต่อวัน (ผลประโยชน์รวมเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ไม่เกิน 60 วัน) โดยกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยเพื่อเกษตรอาสา (ไมโครอินชัวรันส์) เป็นกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มที่ให้ระยะเวลาความคุ้มครอง 60 วัน ผู้เอาประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย
โดยโครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีคิวอาร์ จำกัด (มหาชน)
“ขอเชิญชวนอาสาสมัครอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) และเศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) จากทั่วประเทศ ลงทะเบียนรับสิทธิ์กรมธรรม์ประกันภัยหนึ่งคนต่อหนึ่งสิทธิ์ให้ครบทั้ง 20,000 กรมธรรม์ เพราะเป็นความตั้งใจของทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมกันนำระบบประกันภัยไปสู่พี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นโครงการดี ๆ จากใจสำนักงาน คปภ. เพื่อพี่น้องอาสาสมัครทางการเกษตร โดยสำนักงาน คปภ. จะเร่งบูรณาการกับ สศก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันระบบประกันภัยด้านการเกษตรของประเทศไทยให้พัฒนายิ่งขึ้น อันจะทำให้ต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เปิดเวทีประชุม CEO Insurance Forum 2022 ระดมสมองภาคธุรกิจประกันภัยถอดบทเรียนโควิด

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
11 สิงหาคม 2565

คปภ. เปิดเวทีประชุม CEO Insurance Forum 2022 ระดมสมองภาคธุรกิจประกันภัยถอดบทเรียนโควิด

• ก้าวข้ามความเจ็บปวดสู่การร่วมพลังสร้างเกราะป้องกันให้ระบบประกันภัยของไทยมีความแข็งแกร่ง
ด้วย 7 มาตรการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษและเปิดการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจำปี 2565 (CEO Insurance Forum 2022) ภายใต้แนวคิด “Rebuilding Insurance Resilience to Overcome the VUCA World” ซึ่งเป็นการจัดประชุมในรูปแบบผสมผสาน (หรือ Hybrid Conference) เพื่อเป็นเวทีสื่อสารทิศทางและนโยบายในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้ง แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ณ ห้องประชุม CRYSTAL ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก 
 
ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “บทบาทของธุรกิจประกันภัยต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้นมาเป็นลำดับ และคาดว่าภายในปีนี้ประเทศไทยจะพ้นวิกฤตโควิด และจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติต่อไป โดยแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้คาดการณ์ว่า
จะเป็นปกติ อันเนื่องมาจากกลไกทางเศรษฐกิจกลับมาทำงาน ภาคประกันภัยจำเป็นต้อง Rethink และทบทวนบทเรียนต่าง ๆ เพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า โดยที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยมีส่วนช่วยดูแลพี่น้องประชาชนผ่านมาตรการต่าง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่มีปัญหาบ้าง ก็ต้องนำมาทบทวนความเสี่ยง และต้องบริหารความเสี่ยงทั้งในภาวะปกติและไม่ปกติ ความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของภาคการเงิน ความเชื่อมั่นมาจากประชาชน โดยธุรกิจประกันภัยนำเงินของประชาชนไปบริหารความเสี่ยงผ่านการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ส่งผลทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากระบบประกันภัย ซึ่งระบบประกันภัยมีผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบด้วย หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ธุรกิจประกันภัย (Business) ประชาชนผู้บริโภค (Consumer) และนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) รวมถึงพนักงานบริษัท ตัวแทนประกันภัย/นายหน้าประกันภัย ซึ่งทั้ง 4 ส่วน มีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยให้กับประชาชน 
 
นอกจากนี้ต้องเร่งปรับตัวในเรื่อง Digitalisation ซึ่งระบบดิจิทัลจะเป็นเรื่องหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในช่วงหลังโควิด รวมถึงการให้บริการภาครัฐตามโครงการต่าง ๆ ก็จะใช้ Mobile Appication มากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจประกันภัย 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปแล้ว ธุรกิจประกันภัยจะเป็นเครื่องมือในการระดมเงินออมไปสู่การลงทุนที่สำคัญจึงต้องเตรียมความพร้อมใน 3 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ความมั่นคงของระบบประกันภัยที่ต้อง Rebuild ในการบริหารความเสี่ยงโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย และการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน เรื่องที่ 2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในทุกมิติหรือทุกภาคส่วน และเรื่องที่ 3 การส่งเสริมระบบประกันภัยให้เกิดความยั่งยืน Sustainable Insurance ซึ่งความยั่งยืนในเวทีเอเปคที่จะเกิดขึ้นเดือนตุลาคมนี้จะมีเรื่องความยั่งยืน Sustainable Financial รวมทั้งภาคการเงิน ตลาดทุน และภาคประกันภัย จะทำอย่างไรให้ธุรกิจประกันภัยมีความยั่งยืน เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจประกันภัยที่ดำเนินการมาคือ การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการโครงการพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ การประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นหลักประกันให้เกษตรกรผ่านระบบประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยง และได้ดำเนินการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่คาดการณ์ไม่ได้ อาจจะทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด แต่ช่วยลดภาระภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยจากธรรมชาติ จึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลให้เกิดมั่นคงและความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืน 
จากนั้น ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(เลขาธิการ คปภ.) ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเสริมสร้างเกราะประกันภัย ภายใต้บริบทโลกใหม่” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า การประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจำปี 2565 (CEO Insurance Forum 2022) ภายใต้แนวคิด “Rebuilding Insurance Resilience to Overcome the VUCA World” เป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปีแห่งการพลิกฟื้นเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่ภาคธุรกิจและประชาชนต้องฝ่าฟันกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับความท้าทาย เพื่อที่จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้บริบทของความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) 
ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) โดยปัจจัยสำคัญที่จะนำพาให้มีการเติบโตโดยสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ภายใต้บริบท VUCA ได้ คือ การเปลี่ยนจากการตั้งรับ (Response) ต่อสถานการณ์และบรรเทาผลกระทบไปสู่ (Resiliency) การสร้างสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัย รวมถึงการฟื้นฟูและกู้คืนความเชื่อมั่น (Recovery) ได้อย่างทันกาล
 
ดังนั้น ทิศทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในปี 2566 โดยมีโจทย์ใหญ่ที่สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและเติบโตอย่างยั่งยืนใน 7 มาตรการ คือ มาตรการแรก การเสริมเกราะป้องกัน หรือ Resilience ให้กับภาคธุรกิจ ได้แก่ เร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันภัยจากภายในอย่างแท้จริง ให้มีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนองต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที โดยมีฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันจะเร่งส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยมีธรรมาภิบาลและการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การพิจารณารับประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย ไปจนถึงการจัดการค่าสินไหมทดแทน มาตรการที่ 2 เร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เน้นในเรื่อง Principle-Based มากขึ้น เพิ่มเติมมาตรการและแนวทาง (Policy Tools) ให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการเติบโตในระยะยาว และปรับพอร์ตการรับประกันภัยให้มีความสมดุล พร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่สำคัญ และสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป 
 
มาตรการที่ 3 การถอดบทเรียนจากประกันภัยโควิดแบบเจอ-จ่าย-จบ สำนักงาน คปภ. จะยกระดับกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มาตรการที่ 4 เร่งขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บท ด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย โดยร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและการรับฟังความคิดเห็นเป็นการทั่วไปแล้ว อยู่ระหว่างการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และการพิจารณาในชั้นรัฐสภาต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 3 ซึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ และร่าง พ.ร.บ. ประกันภัยทางทะเล อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา 
มาตรการที่ 5 ชูบทบาทของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) ให้มีบทบาททั้งเสริมสร้างความรู้ให้กับบุคลากรในธุรกิจประกันภัย และส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เสริมสร้างเผยแพร่องค์ความรู้ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประกันภัยในยุค New Normal 
มาตรการที่ 6 กระตุ้นให้ธุรกิจประกันภัยมีการประยุกต์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และมาตรการที่ 7 ผลักดันให้ประกันภัยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในแต่ละภูมิภาค และเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากสาธารณชน 
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างเกราะป้องกันให้ธุรกิจประกันภัย คือ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยผลักดัน สนับสนุน และขับเคลื่อนมาตรการและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความเข้มแข็ง และมีบทบาทในการสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งการประชุมครั้งนี้มี Highlight ตรงที่การประชุมกลุ่มย่อยเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจประกันภัยและสำนักงาน คปภ. มีการอภิปรายระดมความคิดเห็น เพื่อกลั่นกรองสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ โดยแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มย่อยที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “Embracing Prudential Insurance Ecosystem” โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการ ด้านกำกับ เป็นประธานการประชุม สำหรับกลุ่มย่อยที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “Digitizing Insurance Supervisory Framework” โดยมี นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ เป็นประธานการประชุม และกลุ่มย่อยที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “Enhancing Trust for Sustainable Insurance” โดยมี นายชัยยุทธ  มังศรี รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เป็นประธานการประชุม ซึ่งการประชุมทั้ง 3 กลุ่มย่อยดังกล่าวจะมีเลขาธิการ คปภ. เข้าร่วมประชุมและให้ข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิดทั้ง 3 การประชุมกลุ่มย่อยดังกล่าว
 
ที่ประชุมทั้ง 3 กลุ่ม มีข้อสรุปร่วมกันและเห็นว่าสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป มีดังนี้
 1. ภาคธุรกิจประกันภัยต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น และสร้างความเชื่อมั่น สร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้เอาประกันภัย 
2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อรองรับความเสี่ยงภัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นควรใช้ประโยชน์จากโครงการ Insurance Regulatory Sandbox และโครงการ Product Innovation and Tailor-Made Sandbox ให้มากขึ้น 
3. นักคณิตศาสตร์ประกันภัยควรจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะ
นักคณิตศาสตร์ระดับเฟลโล่ (Fellow) ซึ่งต้องพิจารณารับรองผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่จะยื่นขอรับความเห็นชอบมายัง
นายทะเบียน 
4. เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่บริษัทประกันภัยควรมี คือ การยืนยันตัวตนของผู้เอาประกันภัย (Know Your Customer : KYC) ในการสนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งอาจเป็นระบบ KYC กลาง หรือใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วย 
5. การรับประกันภัย การจัดการทางบัญชีและการเงิน และการจัดการค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยควรมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน  
6. สำนักงาน คปภ. ควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การปรับปรุง Free Look Period ของผลิตภัณฑ์การให้ความคุ้มครองการแพ้วัคซีน 
7. การปรับปรุงระบบการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย 
8. การจัดทำฐานข้อมูลกลาง เพื่อใช้ในการติดตามกำกับดูแล การกระทำความผิดของตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย การใช้ฐานข้อมูลสำหรับการประสานความร่วมมือทางคดี 
9. การพัฒนาระบบการประสานงานข้อร้องเรียนด้านการประกันภัยโดยการส่งข้อร้องเรียนให้บริษัทประกันภัยที่ถูกร้องเรียนผ่านระบบอีเมล์ของแต่ละบริษัทเพื่อดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน แบบ Real Time
10. บริษัทประกันภัยควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 
11. แนวทางเกี่ยวกับกระบวนการเข้าทำสัญญา การใช้หรือการตีความข้อสัญญา และการยกเลิกสัญญาให้เป็นธรรม และไม่กระทบต่อผู้เอาประกันภัย การตีความสัญญาประกันภัยต้องเป็นไปตามกฎหมายประกันภัย หรือต้องปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัย และอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 โดยหากสัญญาข้อใดที่ไม่เป็นธรรมให้มีผลใช้บังคับได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
  “การประชุม CEO Insurance Forum 2022 ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยพร้อมที่จะเรียนรู้ร่วมกัน เหตุการณ์ที่ผ่านมาผมเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะไปโทษว่าใครผิด ใครถูก หรือโยนความผิดพลาดให้ใครรับผิดชอบ แต่ควรจะหันมาร่วมมือกันเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้และถอดบทเรียนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ระบบประกันภัยของไทยมีความแข็งแกร่งเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
…………...............................
หมวดหมู่ข่าว: 

หน้า

Subscribe to RSS - ข่าว