ข่าว

สำนักงาน คปภ. จัดพิธีถวายพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
01 พฤศจิกายน 2565

สำนักงาน คปภ. จัดพิธีถวายพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เพื่อน้อมนำไปถวายแด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565 โดยมี ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธี อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ถวายแด่พระสงฆ์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้างของสำนักงาน คปภ. ตลอดจนผู้บริหารจากภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ตัวแทนของคณะนักศึกษาและศิษย์เก่า Super วปส. และวปส. รุ่นต่าง ๆ ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมพิธี โดยมีนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เกียรติร่วมพิธีดังกล่าว
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สำนักงาน คปภ. ประจำปี 2565 วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า สำนักงาน คปภ. ได้ถวายปัจจัยเพื่อสมทบองค์ผ้าพระกฐิน เป็นจำนวนเงิน 6,808,205.48 บาท (หกล้านแปดแสนแปดพันสองร้อยห้าบาทสี่สิบแปดสตางค์) และเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาทั้งคณะผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้างของสำนักงาน คปภ. ภาค/จังหวัดทั่วประเทศ ภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ตัวแทนของคณะนักศึกษา Super วปส. นักศึกษา วปส. รุ่นต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไป ร่วมถวายปัจจัยเพื่อสมทบองค์ผ้าพระกฐิน เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามให้มั่นคงถาวร พร้อมสืบทอดเจตนารมณ์ในการเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลระบบประกันภัยของไทยที่ให้ความสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยให้เจริญรุ่งเรือง และเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมต่อไป 
 
ในโอกาสนี้ สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำหนังสือที่ระลึกพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วยประวัติของวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาวัดเสนาสนาราม เมื่อ พ.ศ. 2406 เดิมชื่อ "วัดเสื่อ" สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสอดแทรกเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการประกันภัยอย่างครบถ้วน อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในด้านวิชาการประกันภัย เพื่อศึกษาและนำระบบประกันภัยมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัยให้กับตนเองและครอบครัวอย่างครบวงจร 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้รวมพลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและนักศึกษา วปส. จัดกิจกรรม “สำนักงาน คปภ. รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษา” โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยได้รวมใจเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ส่งมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และสิ่งของจำเป็น เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนของโรงเรียน รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงด้านทักษะกีฬาให้กับนักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนของชาติ สำหรับสิ่งของที่บริจาคประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 50 เครื่อง พัดลม 20 เครื่อง หมวกกันน็อค 50 ใบ อุปกรณ์กีฬา ได้แก่ ลูกฟุตบอล 30 ลูก ลูกวอลเลย์บอล 30 ลูก และอุปกรณ์ของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็น และบำรุงโรงเรียนภายใต้การอุปถัมภ์ของวัดเสนาสนารามราชวรวิหารจำนวน 3 โรงเรียน รวมเป็นเงิน 130,000 บาท ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดเสนาสนาราม โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ และโรงเรียนประชาศึกษา (เคี้ยงฮั้ว) เพื่อช่วยเหลือเติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของสำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการศึกษา
 
  “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ได้ส่งเสริมและผลักดันให้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารความเสี่ยง และสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน พร้อมให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยให้เจริญรุ่งเรือง ควบคู่กับการดำเนินกิจกรรม CSR เพื่อตอบแทนสังคม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน และการปลูกฝังความเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคมให้แก่บุคลากรในองค์กร เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การจัดพิธีดังกล่าวเป็นไปตามมติของมหาเถรสมาคม เรื่องการกำหนดมาตรการปฏิบัติในพิธีถวายผ้าพระกฐิน/กฐิน ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และขออนุโมทนาบุญแก่ภาคธุรกิจประกันภัย บุคลากรของสำนักงาน คปภ. ตลอดจนผู้มีจิตกุศลทุกท่านที่ร่วมทำบุญใหญ่ครั้งนี้ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงและความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
………………………………………………………..
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. คัดเลือกเข้มข้นเพื่อเฟ้นหา “ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประกันภัย”ชุดที่ 4

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
30 ตุลาคม 2565

 คปภ. คัดเลือกเข้มข้นเพื่อเฟ้นหา “ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประกันภัย”ชุดที่ 4

ไกล่เกลี่ยสำเร็จ คิดเป็นร้อยละ 78.45 เผยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันวินาศภัย “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” มาเป็นอันดับ 1 ส่วนประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันชีวิต “การบอกล้างสัญญาประกันชีวิต กรณีไม่แถลงข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” ขึ้นแท่นแชมป์
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว
เลขาธิการ คปภ. กล่าวตอนหนึ่งว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ดำเนินการภายใต้ระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัย ให้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยและเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นการเพิ่มทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับประชาชนที่จะระงับข้อพิพาทด้านการประกันภัยให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ และเป็นการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากความพึงพอใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย (win-win) โดยผู้ไกล่เกลี่ยชุดที่หนึ่ง ที่ตั้งตามระเบียบฯ ไกล่เกลี่ย มีจำนวน 40 คน ซึ่งครบอายุ 2 ปี 
ไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 ชุดที่สอง จำนวน 50 คน ซึ่งครบอายุ 2 ปี เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 และมีการประกาศขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่ 3 จำนวน 60 คน โดยครบอายุ 2 ปี ไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 
โดยระเบียบไกล่เกลี่ยฯ ให้ถือว่า ผู้ขึ้นทะเบียนรายชื่อเดิมยังคงเป็นผู้ขึ้นทะเบียนรายชื่ออยู่จนกว่าทะเบียนรายชื่อใหม่จะแล้วเสร็จ  
 
สำหรับการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่สี่ ครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ใช้แนวทางในการคัดเลือกเช่นเดียวกับการคัดเลือกผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่สาม โดยกำหนดให้มีการอบรมความรู้กฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัยก่อน เพื่อปูพื้นความรู้ทางด้านประกันภัยให้กับผู้สมัครซึ่งมีทักษะทางด้านไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว แต่อาจไม่มีความชำนาญด้านประกันภัย จากนั้นจึงจัดให้มีการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ ก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการต่อไป ในการดำเนินการดังกล่าวได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำหลักสูตรการอบรมสำหรับผู้ประสงค์จะยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่
ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ โดยมีท่านอาจารย์โชติช่วง ทัพวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการไกล่เกลี่ยและเป็นอดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ได้ให้เกียรติเป็นกรรมการ 
 
ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ ตนได้ให้นโยบายเพิ่มจำนวนผู้ไกล่เกลี่ยชุดใหม่ จากเดิม 60 คน เป็น 80 คน เพื่อเป็นการสำรองรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ยในกรณีมีเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ไกล่เกลี่ยลดลง เช่น การลาออก หรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ที่ประสงค์จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. อีกด้วย
 
ทั้งนี้ หลักสูตรการจัดอบรมในครั้งนี้มีจำนวน 3 วัน ระหว่างวันที่ 28 - 30 ตุลาคม 2565 ประกอบด้วย หลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยและแนวทางการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย กฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย ประกาศ ระเบียบ และคำสั่งนายทะเบียนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และกฎ ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ปัญหาข้อร้องเรียนด้านการประกันภัยที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและจริยธรรมพึงมีของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และสาระสำคัญของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเชิงพุทธ หลังจากอบรมเสร็จแล้วต้องมีการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกจาก จำนวน 109 คน ให้เหลือ 80 คน เพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) ในการทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยต่อไป
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 ซึ่งถือเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา 
มีเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการทั้งสิ้น 1,531 เรื่อง โดยไกล่เกลี่ยสำเร็จเป็นจำนวน 1,201 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 78.45 ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีพอสมควร และหวังว่าผู้ไกล่เกลี่ยชุดที่สี่จะทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้จากการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการที่ผ่านมา ประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันวินาศภัย
ที่มีการร้องเรียนเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ประเด็นเรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 80ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ลำดับต่อมา ได้แก่ ประเด็นเรื่องค่าซ่อมรถ และค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บ สำหรับประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันชีวิตที่มีการร้องเรียนเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ประเด็นการบอกล้างสัญญาประกันชีวิต กรณีไม่แถลงข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 ประเด็นการเรียกร้องเงินผลประโยชน์ตามเอกสารเสนอขาย ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขตามกรมธรรม์ และประเด็นการเสนอขายโดยไม่ได้อธิบายเงื่อนไขและความคุ้มครองให้ชัดเจน ทำให้ผู้เอาประกันภัยหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดในการทำสัญญาประกันชีวิต ตามลำดับ
 
สำหรับการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. นั้น  ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่ละครั้ง อาจได้รับเรื่องร้องเรียนที่มีประเด็นข้อพิพาทที่ค่อนข้างซับซ้อน มีรายละเอียดค่อนข้างมาก และมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นกฎหมาย ซึ่งผู้ไกล่เกลี่ยบางท่านไม่ใช่นักกฎหมาย จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทในแต่ละครั้งเพื่อดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ให้ทันต่อพัฒนาการต่าง ๆ ด้านประกันภัย ตลอดจนกติกาต่าง ๆ เกี่ยวกับประกันภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นอกจากการพัฒนาองค์ความรู้ให้ทันต่อพัฒนาการต่าง ๆ ด้านการประกันภัยแล้ว ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องพัฒนาตนเองให้มีความก้าวทันเทคโนโลยี เช่น ต้องสามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ตามแนวปฏิบัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับคู่กรณี อีกทั้งยังเป็นการรองรับข้อพิพาทที่ส่งมาจากสำนักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยทุกท่านที่อาจพบปัญหาและอุปสรรคบ้างในการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ เช่น สัญญาณอินเทอร์เน็ตขัดข้อง หรือผู้ไกล่เกลี่ยบางท่านอาจไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ โดยในปี 2566 สำนักงาน คปภ. จะจัดทำห้องสำหรับ
ไกล่เกลี่ยออนไลน์โดยเฉพาะ โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยทุกท่าน 
 
“สิ่งที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย คือ การปฏิบัติตนให้เป็นกลาง มีความซื่อสัตย์สุจริตและให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีฝ่ายใดรู้สึกถึงความไม่เป็นกลางหรือเกิดความไม่พึงพอใจ และไม่ควรชี้นำหรือโน้มน้าวคู่กรณีให้เร่งรัดตัดสินใจเพื่อยุติข้อพิพาท โดยจะต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้เป็นผู้ตัดสินใจถึงผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเอง โดยให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจรจาและพูดคุยเพื่อหาข้อยุติประเด็นพิพาทดังกล่าวร่วมกัน เพื่อให้ข้อพิพาทสามารถยุติลงได้ด้วยความพึงพอใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ทำให้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการ เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในที่สุด
.........................................................
 
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นที่มีสิทธิเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก)

< >
วันที่เผยแพร่: 
25 ตุลาคม 2565

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นที่มีสิทธิเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย ตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559

กำหนดการ

วันที่

1. เข้ารับการอบรม  

ณ ห้องวิภาวดี แกรนด์บอลรูม C ชั้น Lobby 

โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 

28 – 30 ตุลาคม 2565 
2. สอบข้อเขียน  
ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 
30 ตุลาคม 2565 
3. สอบสัมภาษณ์ ณ ห้องประชุมสำนักงาน คปภ.   9 พฤศจิกายน 2565 
4. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการทางเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. www.oic.or.th 15 พฤศจิกายน 2565 

 

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เผยผลตอบรับงาน TIF 2022 เกินคาด และมี tech startup ต่างประเทศเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ขณะที่ยอดซื้อประกันภัยในงานทะลุเป้า เตรียมจัด TIF ปีหน้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
18 ตุลาคม 2565

คปภ. เผยผลตอบรับงาน TIF 2022 เกินคาด และมี tech startup ต่างประเทศเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ขณะที่ยอดซื้อประกันภัยในงานทะลุเป้า เตรียมจัด TIF ปีหน้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม

 

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน คปภ. ได้จัดงาน “Thailand InsurTech Fair 2022” ภายใต้แนวคิด “Reshaping Insurance to the Multiverse of InsurTech for the Future ก้าวสู่จักรวาลแห่งเทคโนโลยีประกันภัย เพื่อโลกใหม่  ไร้ขีดจํากัดเมื่อวันที่ 7-9 ตุลาคม 2565 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6 และทางออนไลน์ www.TIF2022.com โดยการจัดงาน TIF 2022 เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดของงานจากสัปดาห์ประกันภัยไปสู่งาน Thailand InsurTech Fair ที่ขยายขอบเขตไปสู่เรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการประกันภัย ถือเป็นแนวคิดใหม่ ซึ่งในปีนี้ได้จัดเป็นครั้งที่สองโดยได้ปรับรูปแบบงานให้เป็นแบบ Active Hybrid เนื่องจากสถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลง ประชาชนที่สนใจอยากเข้าชมงานแบบ onsite และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันในยุค New Normal จึงได้รับความสนใจจากประชาชนที่เข้าร่วมงานและบริษัทประกันภัยเป็นอย่างมาก   

 

 

การจัดงาน Thailand InsurTech Fair 2022 ในปีนี้ไม่ได้ตั้งเป้าความสำเร็จไว้ที่ยอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยเท่านั้น แต่สำนักงาน คปภ. อยากเห็นการยกระดับการประกันภัยเข้าสู่มาตรฐานสากล และมุ่งสู่ Digital Insurance Ecosystem ซึ่งการจัดงานได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของ InsurTech innovation บริษัทประกันภัยมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่าง ที่ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยมี Tech firms และ Startups จากต่างประเทศให้ความสนใจและมาร่วมออกบูธภายในงาน พร้อมนำเสนอนวัตกรรม สร้างเครือข่าย และ business matching ภายในงานอย่างคับคั่งและความสำเร็จในเรื่องของ OIC InsurTech Award การประกวดสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย ซึ่งมีทีมเข้าร่วมประกวดจำนวนมากขึ้นในทุกปี และในปีนี้มีการนำเสนอนวัตกรรมที่น่าสนใจ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและสังคมอย่างตรงจุด เช่น Application สำหรับผู้ป่วยทางจิตเวชสามารถพบนักนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ทางออนไลน์ เพื่อทำการวินิจฉัยประเมินวัดความเสี่ยงและคำนวณเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมโดยใช้เทคโนโลยี AI และ Platform สำหรับเชื่อมต่อคลินิกแพทย์เอกชนที่มีระบบการควบคุมต้นทุนค่ารักษา ปริมาณยาที่จ่าย (dosage) และมาตรฐานคิดค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงระบบตรวจจับการฉ้อฉล

 

 

สำหรับผลตอบรับของการจัดงาน “Thailand InsurTech Fair 2022” นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังสัมมนาจำนวน 35,161 ราย มีSeminar Sessions ในหัวข้อต่าง ที่น่าสนใจกว่า 17 หัวข้อ จากวิทยากร 27 คน จากหลายประเทศ Exhibition Hall มีบริษัทประกันภัยและหน่วยงานต่าง ประกอบด้วย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัยนิติบุคคล และธนาคาร รวมทั้งมีบริษัท Tech firm และ InsurTech Start up ทั้งจากในและต่างประเทศ รวมผู้เข้าร่วมจัดงานมากกว่า 80 แห่ง ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานจำนวน 202,389 คน แบ่งเป็น On ground  จำนวน 43,821 คน Online จำนวน 158,568 คน Business Matching การจับคู่ทางธุรกิจผ่านการพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล และสานสัมพันธ์ทางธุรกิจเพื่อต่อยอดการเติบโตของบริษัทในวงการประกันภัย มีผู้สนใจเข้าร่วมพูดคุยธุรกิจจำนวนกว่า 300 ราย  ส่วนยอดซื้อกรมธรรม์ประกันภัยภายในงาน มีเบี้ยประกันภัยสูงถึงกว่า 1,063 ล้านบาท จำนวนกรมธรรม์รวมมากกว่า 19,365 กรมธรรม์ มีทุนประกันภัยรวมมากกว่า 9,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัย 905 ล้านบาท 7,544 กรมธรรม์ ผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย มีเบี้ยประกันภัย 158 ล้านบาท 11,821 กรมธรรม์ ปัจจัยที่ส่งผลทำให้การจัดงานประสบความสำเร็จมาจากกิจกรรมต่าง ภายในงานที่น่าสนใจ ประกอบด้วยการที่เป็นงาน InsurTech ที่ครบวงจรงานเดียวของประเทศ ที่มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลด้านการประกันภัยและภาคอุตสาหกรรมประกันภัย มีการจัดงานในรูปแบบ Hybrid ผสมผสานรูปแบบ online event และ onsite event ควบคู่กัน ที่สามารถตอบโจทย์ผู้เข้าชมงานได้ทั้งการเดินทางมาชมงานที่อิมแพค เมืองทองธานี สถานที่จัดงานจริง และการเข้าชมผ่านทางออนไลน์ที่สามารถเข้าชมได้ง่าย สะดวกและตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งทาง Smart Phone หรือคอมพิวเตอร์ มีกิจกรรมให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสในแบบ Interactive ที่ให้ผู้เข้าชมงานสร้างตัวเสมือนหรือ Avatar ของตัวเองในการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ภายในงาน เพื่อสะสมแต้มและแลกรับของรางวัล รวมถึงจุดให้ความรู้แนวใหม่แบบ Interactive wall และ interactive floor นับเป็นการพลิกโฉมการเข้าชมงานของอุตสาหกรรมประกันภัยได้อย่างแท้จริง ผู้เข้าชมงานได้เลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยจากหลากหลายบริษัท ได้ในที่เดียว แบบครบ จบ คุ้มในราคาสุดพิเศษ ที่ได้ส่วนลดสูงสุด 30 % และยังได้รับคูปองชิงโชคของรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV-Ora Good Cat รวมทั้ง IT Gadget ต่าง อาทิ โทรศัพท์มือถือ Smart watch และอื่น มากกว่า 40 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1,600,000 บาท ในส่วนงานสัมมนามีวิทยากรชั้นนำระดับแนวหน้าจากทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ และมาเลเซีย มาร่วมให้ความรู้ในหัวข้อต่าง กว่า 17 หัวข้อ ในเนื้อหาที่เข้มข้นและน่าสนใจ ซึ่งสามารถรับชมได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยการสัมมนาในทุกหัวข้อสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง www.tif2022.com อีกด้วย และในส่วนของ InsurVese Zone เป็นอีกโซนที่ดึงความสนใจของผู้เข้าชมงาน เพราะได้ชมเทคโนโลยีประกันภัยสุดล้ำ จากเหล่า tech startup นำเสนอเทคโนโลยี InsurTech มาร่วมงานทั้งหมด 40 บูธ ซึ่งมาจากหลากหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย อังกฤษ ฮ่องกง เป็นต้น 

 

 

ด้าน Start up ของไทย ก็มีความโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอุปกรณ์จับคลื่นเสียง ตรวจการล้มของผู้สูงอายุภายในบ้านอัตโนมัติ เพื่อเรียกกู้ภัยและรถพยาบาล ให้เข้าถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว ด้าน Tech Start up ของต่างประเทศ ที่น่าสนใจ อาทิ ผู้ทำ platform กลางเพื่อรับส่งข้อมูลกลางระหว่างภาคธุรกิจประกันภัยทุกบริษัท รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ OIC Gateway + IBS ของสำนักงาน คปภ. สำหรับ metaverse เป็นที่น่ายินดีว่าประเทศไทยมี startup ผู้ให้บริการบน metaverse หลายเจ้า ซึ่งสามารถสร้างสิ่งที่อยู่ในไอเดีย ไม่ว่าจะเป็นการขาย หรือการให้บริการต่าง แบบ เสมือนจริง แบบล้ำสมัยให้เกิดขึ้นจริงได้ด้วยฝีมือคนไทยเอง เช่น Digital Marketing Platform แนวใหม่ ที่ผสานความสนุกของเกมการท่องเที่ยว และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีในยุค Web 3.0 ให้เกิดสะพานเชื่อมต่อคุณค่าจากโลกดิจิทัล มาสู่ธุรกิจในโลกจริง และนวัตกรรมประกันภัยอื่น อีกมากมายที่น่าสนใจ เช่น Artificial Intelligence (AI) ในการประมวลผลข้อมูลต่าง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว และช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัยได้อย่างเหมาะสม Blockchain ที่ช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการประกันภัย และ Machine Learning (ML) ที่ช่วยในเรื่องของการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และยังได้ความรู้ด้านประกันภัยจากบูทนิทรรศการของสำนักงาน คปภ. สมาคมด้านการประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัย และบริษัท Tech Firm InsurTech Startup จากทั้งในและต่างประเทศ ร่วมงานคับคั่ง

 

 

ในวันนี้ (18 ตุลาคม 2565) นอกจากจะมีการแถลงข่าวผลการจัดงาน “Thailand InsurTech Fair 2022” แล้ว ยังมีการจับรางวัลใหญ่ให้กับผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยภายในงาน โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้า EV - Ora Good Cat มูลค่ากว่า 763,000 บาท คือ คุณนุชรี  อ่อนพร้อม ผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 1 ฉบับ 

  

 

ผมขอขอบคุณภาคธุรกิจประกันภัย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่บูรณาการร่วมกันจัดงาน TIF ปีนี้จนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งจากตัวเลขผู้ร่วมงานและ tech startup จากต่างประเทศได้นำเสนอเทคโนโลยี InsurTech สุดล้ำมาร่วมงานกว่าประมาณ 40 บูธ สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของประชาชนเกี่ยวกับการประกันภัยและนวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัย จึงนับว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการจัดงานแบบ Active Hybrid ของภาคธุรกิจประกันภัยที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และยังเป็นการประกาศว่าภาคธุรกิจประกันภัยพร้อมที่จะปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ที่เกิดขึ้นในยุค New Normal และ Next Normal รวมไปถึงเรื่องของ Digital Disruption ที่บริษัทประกันภัยจำเป็นต้องมีการปรับตัวในการรับเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะเริ่มเตรียมการให้ดีที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าในปีหน้าการจัดงาน “Thailand InsurTech Fair 2023” จะยิ่งใหญ่กว่าปีนี้เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ประกาศผลสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย OIC InsurTech Award 2022 ในงาน Thailand InsurTech Fair ครั้งที่ 2

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
10 ตุลาคม 2565

คปภ. ประกาศผลสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย OIC InsurTech Award 2022 ในงาน Thailand InsurTech Fair ครั้งที่ 2

 

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยศูนย์ Center of InsurTech, Thailand (CIT) จัดงานประกวดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย หรือ OIC InsurTech Award 2022 ภายใต้แนวคิด“AWAKEN THE NEW POWER OF INSURANCE” เพื่อเฟ้นหาสุดยอด InsurTech ของประเทศไทยที่เสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านประกันภัยที่เป็นเลิศ ซึ่งมีทีมที่ให้ความสนใจสมัครร่วมประกวดเป็นจำนวนมากกว่า 167 ทีม โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทนักเรียน นิสิต/นักศึกษา และประเภทบุคคลทั่วไป โดยมี 10 รางวัล รวมเงินรางวัล 500,000 บาท พร้อมโล่ และการตัดสินรอบชิงชนะเลิศจะให้ทีมที่ได้รับการคัดเลือกประเภทบุคคลทั่วไป 5 ทีมสุดท้าย และประเภทนิสิต/นักศึกษา 5 ทีมสุดท้าย ที่ผ่านการคัดเลือกได้มานำเสนอผลงานที่บูธของสำนักงาน คปภ. ในงาน “Thailand InsurTech Fair 2022” ในวันที่ 8 ตุลาคม 2565 เวลา 12.45 - 14.45 . อิมแพค เอ็กซิบิชัน ฮออล์ 6 เมืองทองธานี นั้น

 

ในการนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ  มังศรี เป็นประธานคณะกรรมการตัดสินและมอบรางวัลและมีคณะกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายทำนุ อมาตยกุล ประธานคณะอนุกรรมการดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย คุณกัลยา จุกหอม ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหารอาวุโส สายงานวิชาการ สมาคมประกันวินาศภัยไทย คุณอมฤต ฟรานเซน เลขาธิการ สมาคมฟินเทคประเทศไทย คุณพรชัย แสนชัยชนะ Brand Director บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกลยุทธ์องค์กร สำนักงาน คปภ และนายชินพงศ์ กระสินธุ์ Head of Center of InsurTech, Thailand (CIT) โดยการนำเสนอของแต่ละทีมในรอบชิงขนะเลิศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2565 มีความหลากหลายและมีความน่าสนใจ ซึ่งการพิจารณาตัดสินรอบชิงชนะเลิศเป็นไปอย่างเข้มข้น 

 

สำหรับเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก 100 คะแนน ประกอบด้วย 1. Wow factor & Pitching Presentation โครงการน่าสนใจ ฟังแล้วน่าตื่นเต้น มีไอเดียใหม่ และดึงดูดในการฟังครั้งแรกได้ สามารถนำเสนอผลงานในเวลาที่กำหนดได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งตอบคำถามคณะกรรมการได้อย่างชัดเจนครบถ้วน 30 คะแนน 2. Problem / Pain Point ปัญหาที่เสนอนั้นมีอยู่จริง และปัญหานั้นเกิดผลกระทบ มีผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด หรือความรุนแรงของปัญหาที่เกิด และมีผลกระทบมากถึงมากที่สุด 20 คะแนน 3. Product / Solution สิ่งที่เสนอมานั้น สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด แก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จ ครบทุกมิติ และมีความเป็นไปได้ในบริบทประเทศไทย 20 คะแนน 4. Market Opportunities มีโอกาสทางการตลาดมากน้อยเพียงใด 10 คะแนน และ 5. Technology ที่นำมาใช้สามารถตอบโจทย์ตรงกับ Solution ที่ต้องการ มีความน่าสนใจ ทันสมัย เป็นเรื่องใหม่ ไม่ค่อยมีผู้ที่เข้าใจเชิงลึกมากนัก หรือยังไม่มีการใช้งานแพร่หลายในธุรกิจประกันภัยมากนัก มีการประยุกต์ Technology เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการนำมาใช้งานขั้นพื้นฐาน 20 คะแนน 

สำหรับผลการตัดสินการประกวดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย OIC InsurTech Award 2022 ประเภทนิสิต / นักศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Schmettering ภายใต้แนวคิดจากแนวโน้มที่มีผู้ป่วยทางจิตเวชเพิ่มขึ้น และผู้ป่วยบางรายมีความกังวลกับการพูดคุยต่อหน้ากับนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ จึงได้คิดค้น Application สำหรับผู้ป่วยทางจิตเวช สามารถพบนักนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ทางออนไลน์ เพื่อทำการวินิจฉัยประเมินวัดความเสี่ยง และคำนวณเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมโดยใช้เทคโนโลยี AI” โดยได้รับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Plantpot ภายใต้แนวคิด “Long term health care insurance ประกันภัยสุขภาพรูปแบบใหม่สำหรับสังคมยุคใหม่และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม METTA ภายใต้แนวคิด “Community สำหรับผู้สูงวัยบน Metaverse เพื่อการเสนอขายประกันภัยที่ใช่ สำหรับไลฟ์สไตล์ที่ชอบและรางวัลชมเชยลำดับที่ 1 ได้แก่ ทีม Code Line ภายใต้แนวคิด “Application เพื่อ surveyor ยกระดับการเคลมรถยนต์และการบริการลูกค้ารางวัลชมเชยลำดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Infinity ภายใต้แนวคิดเพิ่มประสิทธิภาพการประเมินความเสียหายรถยนต์ในโลกเสมือนจริง ผ่านเทคโนโลยี MR” 

 

ส่วนผลการตัดสินประเภทบุคคลทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีมประกันสุขภาพ ซ่อมอู่ ฟิน ฟิน ภายใต้แนวคิด “Platform สำหรับเชื่อมต่อคลินิกแพทย์เอกชนที่มีระบบการควบคุมต้นทุนค่ารักษา ปริมาณยาที่จ่าย (dosage) และมาตรฐานคิดค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงระบบตรวจจับการฉ้อฉล ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่คุ้มครองด้านการเข้ารักษาที่คลินิกฯ ได้ง่ายขึ้น และส่งผลให้ได้เบี้ยประกันราคาไม่แพง เหมาะสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ที่มีสวัสดิการพื้นฐานอยู่แล้ว สามารถเข้าถึงและเลือกใช้การประกันสุขภาพเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้นได้รับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Blue oak ภายใต้แนวคิดลดความสูญเสียเมื่อเกิดภัย เพิ่มความอุ่นใจให้ผู้เอาประกัน หั่นค่าเบี้ยให้ถูกลงสำหรับผู้สูงอายุรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Meddit ภายใต้แนวคิด “Meddit สรุป พร้อมแนะนำประกันของคุณโดย AI” และรางวัลชมเชยลำดับที่ 1 ได้แก่ ทีม Covest Paratex ภายใต้แนวคิดระบบประกันรูปแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีสัญญาอัจฉริยะ บนโครงข่ายบล็อกเชนและรางวัลชมเชยลำดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Buddy Survey ภายใต้แนวคิด “Auto Claim Rider Service” 

 

เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวแสดงความยินดีและร่วมถ่ายภาพทางออนไลน์ พร้อมกล่าวให้โอวาทแก่ผู้ได้รับรางวัลในตอนหนึ่งว่า รางวัลนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการประกันภัย ประจำปี 2565 หรือ OIC InsurTech Awards 2022 เพื่อจะเฟ้นหา “NEW POWER พลังใหม่จากคนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยพลิกโฉมโลกประกันภัย ให้สามารถเสริมสร้างอุตสาหกรรมประกันภัยให้แข็งแกร่ง รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตลอดจนช่วยคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคด้านการประกันภัย โดยโครงการปีนี้สามารถจัดกิจกรรม Bootcamp เป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ด้าน InsurTech และความรู้ต่าง ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการประกันภัย ซึ่งจัดทั้งในรูปแบบ Online และ Offline เพื่อบ่มเพาะและพัฒนาทักษะในการคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) รวมถึงมีทีมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิคอยเป็น Coach ให้คำปรึกษาแบบ Intensive Coaching เพื่อช่วยกระตุ้นความคิดและบ่มเพาะผลงานให้สามารถตอบโจทย์ Pain Point ต่าง ได้ตรงจุด และสามารถนำเสนอนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการประกันภัย ที่มีความน่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในการต่อยอดไปสู่ภาคธุรกิจได้อย่างเต็มรูปแบบ และจากการประกวดครั้งนี้ทำให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่และกลุ่ม InsurTech Startup ในประเทศไทยนั้น มีศักยภาพไม่แพ้ประเทศอื่น เราได้เห็นถึงพลังของคนรุ่นใหม่ที่เห็นความสำคัญของการร่วมกันพลิกโฉมอุตสาหกรรมประกันภัย และมีพลังในการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย ซึ่งศูนย์ CIT จะมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมและสร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรม พร้อมทั้งประสานพลังคนทุก generation โดยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech) ซึ่งจะเป็นประโยชน์เป็นอันมากต่อธุรกิจประกันภัยของไทยในอนาคต 

 

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการปีนี้จะช่วยส่งเสริมความรู้พื้นฐานด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัยให้แก่ กลุ่มนิสิต นักศึกษา บุคลากรในวงการประกันภัย และ Tech Firm ที่มีความสนใจได้นำความรู้ไปพัฒนานวัตกรรมด้านการประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัลทุกทีม ขอให้รักษาคุณภาพและหมั่นพัฒนาศักยภาพให้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้นำความรู้มาต่อยอดและช่วยกันพัฒนา InsurTech ของประเทศไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

งาน Thailand InsurTech Fair 2022 เริ่มแล้ว! เลขาธิการ คปภ. เปิดมุมมองใหม่ก้าวสู่จักรวาลแห่งเทคโนโลยีประกันภัย พร้อมแนะธุรกิจประกันภัยไทยใช้กลยุทธ์แบบ Insurance Liquid Ecosystem และหลัก “3R” เพื่อให้ทันเกมส์

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
09 ตุลาคม 2565

งาน Thailand InsurTech Fair 2022 เริ่มแล้ว! เลขาธิการ คปภ. เปิดมุมมองใหม่ก้าวสู่จักรวาลแห่งเทคโนโลยีประกันภัย พร้อมแนะธุรกิจประกันภัยไทยใช้กลยุทธ์แบบ Insurance Liquid Ecosystem และหลัก “3R” เพื่อให้ทันเกมส์

 
งานมหกรรมเทคโนโลยีประกันภัยสุดยิ่งใหญ่ “Thailand InsurTech Fair 2022” ภายใต้แนวคิด “Reshaping Insurance to the Multiverse of InsurTech for the Future ก้าวสู่จักรวาลแห่งเทคโนโลยีประกันภัย เพื่อโลกใหม่  ไร้ขีดจํากัด” เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6 และทางออนไลน์ www.TIF2022.com โดย highlight อันหนึ่งของงาน คือการเติมเต็มความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัยจากเหล่าวิทยากรมากประสบการณ์ที่มาแปรเทคนิค บทเรียน สารพัดประสบการณ์กับเส้นทางประกันภัยยุคดิจิทัล ซึ่งดร.สุทธิพล           ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เป็นคนแรกที่เปิดประเดิมมุมมองของ Regulator ในประเด็น “Striving for Hypergrowth in the Era of Insurance Multiverse” หรือ “การมุ่งสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายใต้จักรวาลใหม่ของการประกันภัย” 
 
โดยได้ย้ำว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน Smart Phone และอุปกรณ์ Device ต่าง ๆ เป็นเรื่องปกติไปแล้ว โควิด-19 ได้ทำให้ทุกคนคุ้นชินกับการนำเทคโนโลยีและทำให้การดำรงชีวิต ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น ภาคธุรกิจประกันภัยก็ปรับเปลี่ยนตัวเองใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเห็นได้ชัดจากเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle ถือได้ว่ามาแรงมากในขณะนี้เพราะประชาชนเริ่มหันมาสนใจเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ส่งผลต่อธุรกิจประกันรถยนต์อย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัย รวมไปถึงการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง 
 
อีกเทคโนโลยีที่ต้องกล่าวถึงคือ Metaverse การผสานสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยี
เข้าด้วยกัน จนกลายเป็น "ชุมชนโลกเสมือนจริง" ที่ผสานวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว
โดยอาศัยเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาช่วยเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อให้กลายเป็นพื้นที่โลกเดียวกัน โดยคาดว่าแต่ละคนจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวันในโลกเสมือนจริงนี้ ซึ่ง Metaverse จะก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่สำหรับบริษัทประกันภัยทั้งการมีพื้นที่ในการติดต่อสื่อสารพบปะกับลูกค้าเพื่อเสนอขายและให้บริการประกันภัยสร้างการรับรู้ BrandRepresentation ในโลกเสมือน หรือจะใช้พื้นที่นี้สำหรับอบรมและสื่อสารกับพนักงานของบริษัทได้เช่นเดียวกัน 
ดังนั้น มุมมองและรูปแบบในการดำเนินธุรกิจประกันภัยต้องเปลี่ยนไปจากรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบเดิม ประเด็นแรก กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจควรมุ่งสู่ Ecosystem Strategy การดำเนินธุรกิจประกันภัยต้องเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มและธุรกิจอื่นมากขึ้น (Insurance Liquid Ecosystem) ทั้งภายในอุตสาหกรรมประกันภัยและระหว่างอุตสาหกรรมอื่น (Cross-industry) ความเชื่อมโยงนี้มีความหมายเกินกว่าเรื่อง Cross Selling เพราะการดำเนินธุรกิจประกันภัยไม่ใช่เพียงแค่การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงเพื่อเสนอขายในช่องทางที่หลากหลาย แต่โจทย์ใหม่ คือ 
ทำอย่างไรจึงจะเชื่อมโยงและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Ecosystem อื่น ๆ เพื่อสามารถให้ความคุ้มครองและบริการ
ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด
ประเด็นถัดมา คือ การขยายมุมมองของการประกันภัย จากการรับโอนความเสี่ยง (Risk Transfer) จ่ายเงินชดเชยเมื่อเกิดความเสียหาย ไปสู่การให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือลูกค้าในการป้องกันความเสี่ยง (Risk Prevention) 
เพื่อมิให้เกิดความเสียหาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กรณีประกันภัยไซเบอร์ ซึ่งบริษัทประกันภัยในต่างประเทศ
จะให้บริการประเมินจุดเสี่ยง และให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการปิดช่องโหว่ทางไซเบอร์ หรือปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดโอกาสการถูกโจมตี ข้อมูลรั่วไหล หรือให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้เร็วขึ้น ควบคู่ไปกับการรับประกันภัย ซึ่งเป็นผลดีกับทั้งลูกค้าและบริษัทประกันภัย ในแง่ของการลดความสูญเสียและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งแนวคิดนี้ควรนำมาปรับใช้กับประกันภัยประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่น ประกันภัยรถยนต์ที่บริษัทควรมีบทบาทส่งเสริมให้ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมการขับรถที่ดี ไม่ประมาท ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียบนท้องถนน ผ่านการรณรงค์ให้ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ telematics การติด Sensor เพื่อติดตามพฤติกรรมการขับขี่ หรือ สำหรับประกันสุขภาพ ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนให้คนมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น เช่นการใช้ Wearable Devices และ IoT เข้ามาช่วย เป็นต้น ดังนั้น
สิ่งที่ต้องการเน้นให้เห็น คือ เทคโนโลยีถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถช่วยเหลือหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าในการลดความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
สำหรับความท้าทายของสำนักงาน คปภ. ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจโดยรวมสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที สอดคล้องกับบริบทความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงผันผวนตลอดเวลา ซึ่งบทบาทของการเป็น Facilitator สนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทให้สามารถพัฒนาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะเด่นชัดขึ้น ในขณะที่บทบาทของ Regulator ยังคงต้องมีอยู่เพื่อคอยดูแลและติดตามเสถียรภาพความมั่นคงของธุรกิจประกันภัยยกระดับมาตรการการดำเนินงานของธุรกิจให้เทียบเท่าสากลควบคู่ไปกับการคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัย ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้มีการดำเนินการเพื่อเร่งให้อุตสาหกรรมประกันภัยเกิดการปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใน 7 มิติหลัก ๆ คือ มิติแรก การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลและขยายขอบเขตการเชื่อมโยงข้อมูลการประกันภัย มิติที่ 2 การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน มิติที่ 3 การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดรับกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความต้องการของประชาชน มิติที่ 4 การปรับปรุงหลักเกณฑ์และนโยบายในการกำกับดูแลเพื่อเอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม มิติที่ 5 การยกระดับการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัยด้วย AI และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มิติที่ 6 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยด้วยเทคโนโลยี และมิติที่ 7 การพัฒนาสำนักงาน คปภ. เพื่อมุ่งสู่การเป็น SMART OIC 
 
ในตอนท้ายของการบรรยายหัวข้อดังกล่าว เลขาธิการ คปภ. ได้ให้ข้อแนะนำที่สำคัญสำหรับภาคธุรกิจประกันภัยในอนาคตเพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายใต้จักรวาลใหม่ของการประกันภัย โดยใช้หลัก “3R” คือ R ตัวแรก Reconsider Your Customer Experience ทำความเข้าใจความคาดหวังของลูกค้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์และตรงใจ R ตัวที่สอง Revamp Your Business Strategy with Technology and Data ปรับโฉมกลยุทธ์ทางธุรกิจ ให้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้มากที่สุด และR ตัวที่สาม Reshape Your Organization with Agility and Innovation ตั้งเป้าหมายองค์กรใหม่ มุ่งสร้างนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี 
“โอกาสของธุรกิจประกันภัยยังมีอีกมากมาย เทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพาธุรกิจ
เข้าสู่จักรวาลใหม่นี้ หากองค์กรใด สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม ถูกจังหวะและเวลา จะเข้าถึงโอกาสนั้นได้ สามารถให้บริการกับกลุ่มลูกค้าและความต้องการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยให้บริการได้มาก่อน ได้อีกมากมายมหาศาล สำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะช่วยเสริมสร้าง เพิ่มความเข้มแข็ง สร้างสรรค์โอกาส เปิดมิติใหม่ สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการยกระดับกรอบการกำกับดูแล ปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยไทยเข้าสู่จักรวาลใหม่ New Era of Insurance Multiverse มาร่วมกันใช้ InsurTech เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบใหม่ ๆ ให้ตรงใจ และตอบความต้องการของประชาชนให้ดีที่สุด” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
..................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. แจงความคืบหน้าการช่วยเหลือด้านประกันภัยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เผยบริษัทประกันภัยทยอยจ่ายค่าสินไหมแล้ว

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
08 ตุลาคม 2565

เลขาธิการ คปภ. แจงความคืบหน้าการช่วยเหลือด้านประกันภัยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เผยบริษัทประกันภัยทยอยจ่ายค่าสินไหมแล้ว

 
กรณีเกิดเหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ติดตามและลงพื้นที่แล้ว รวมทั้งได้มีการตั้งศูนย์เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบเหตุที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ และได้มีการรายงานการช่วยเหลือด้านการประกันภัยไปแล้วนั้น
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ห่วงใยในเรื่องนี้อย่างมากและได้กำชับให้สำนักงาน คปภ. เข้าไปช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่ 
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการช่วยเหลือด้านประกันภัยนั้น หลังจากที่ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ทำประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม ไว้กับบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยยังไม่หมดอายุ โดยคุ้มครองกรณีการเสียชีวิต รายละ 50,000 บาท และคุ้มครองกรณีค่ารักษาพยาบาลต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง 5,000 บาทต่อราย โดยมีผู้เสียชีวิตที่ได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ จำนวน 17 ราย รายละ 50,000 บาท ผู้บาดเจ็บที่ได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ 3 ราย ๆ ละ 5,000 บาท ซึ่งจากการประสานงาน บริษัทผู้รับประกันภัยได้นัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิต ในวันที่ 8 ตุลาคม 2565 เวลา 14.00 น. ณ หอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู 
 
นอกจากนี้ บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบเงินช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ ในวงเงิน 820,000 บาท สำหรับผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกราย โดยเฉลี่ยจ่ายให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิต จำนวน 36 ราย ๆ ละ 20,000 บาท สำหรับผู้บาดเจ็บ จำนวน 10 ราย ๆ ละ 10,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารของทายาท หากได้รับเอกสารครบถ้วนบริษัทฯจะเร่งดำเนินการจ่ายโดยเร็ว
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย ทำกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้กับ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 ราย ซึ่งมีความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต เป็นเงิน 50,000 บาท จำนวน 1 ราย และคุ้มครองการเสียชีวิต จำนวน 2 ราย รายละ 100,000 บาท โดย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจ่ายโดยโอนเงินเข้าบัญชี (วันที่ 7 ตุลาคม 2565) เรียบร้อยแล้ว 
 
ส่วนรถยนต์ของผู้ก่อเหตุที่เฉี่ยวชนประชาชนรอบบริเวณที่เกิดเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และผู้บาดเจ็บ 5 ราย ตรวจสอบพบว่า ในขณะที่ถูกเฉี่ยวชนอยู่ในระหว่างขับขี่และโดยสารรถจักรยายนต์ ซึ่งมีการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ จำนวน 1 ราย กับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โดยบริษัทฯ ได้จ่ายค่าเสียหายให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย เป็นเงิน 35,000 บาท เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 สำหรับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ซึ่งอยู่ในรถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้จัดทำประกันภัยภาคบังคับ ทายาทสามารถรับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สำหรับค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างที่ทายาทติดต่อขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนฯ โดยสำนักงาน คปภ. จะเร่งให้กองทุนฯ จ่ายเงินค่าเสียหายเบื้องต้นให้โดยเร็ว
และยังพบว่ามีผู้เสียชีวิต 4 ราย ทำกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้กับ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ประสานบริษัทเพื่อให้ดำเนินการชดใช้ โดยบริษัทได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้รับประโยชน์ทั้ง 4 ราย จำนวนเงิน 1,200,500 บาท (วันที่ 7 ตุลาคม 2565) เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้นกลุ่มตัวแทนบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) จังหวัดหนองบัวลำภู ได้ช่วยเหลือเป็นค่าปลงศพให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิต จำนวน 36 ราย ๆ ละ 1,000 บาท รวม 36,000 บาท เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 เรียบร้อยแล้ว
 
“สำนักงาน คปภ. ได้เร่งระดมสรรพกำลังบุคลากรของสำนักงาน คปภ. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สำนักงาน คปภ. ยังคงเร่งติดตามตรวจสอบการประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด และจะดำเนินการอย่างเต็มที่และสุดความสามารถเพื่อให้ผู้บาดเจ็บและครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าในการช่วยเหลือด้านประกันภัยเพิ่มเติมจะได้แจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานมอบรางวัล “สุดยอดประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2565”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
07 ตุลาคม 2565

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานมอบรางวัลสุดยอดประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2565” 

และกดปุ่มเปิดงาน Thailand InsurTech Fair ครั้งที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ โดยเชิญยืนไว้อาลัยเหตุกราดยิงที่หนองบัวลำภู ก่อนเปิดงาน

 

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า วันนี้ (7 ตุลาคม 2565) ห้องประชุม ฟีนิกซ์ 1 - 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่นายกรัฐมนตรีอนุญาตให้ใช้ลายมือชื่อสลักลงบนโล่เกียรติยศ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณ และเชิดชูเกียรติบริษัทประกันภัย องค์กร หน่วยงาน และบุคคลดีเด่นด้านการประกันภัย และมีการดำเนินการต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 18 โดยมีรางวัลรวม 14 ประเภท 66 รางวัล อาทิ รางวัลบริษัทประกันภัยดีเด่น รางวัลตัวแทน และนายหน้าประกันภัยคุณภาพดีเด่น รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสำนักงาน คปภ. และระบบประกันภัย รวมทั้งรางวัลบริษัทประกันภัยที่มีการพัฒนาด้านความยั่งยืนในธุรกิจประกันภัยดีเด่น (หรือ ESG) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจประกันภัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยก่อนเปิดงาน รัฐมนตรีอาคมได้เชิญชวนผู้ที่เข้าร่วมงานยืนไว้อาลัยเพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุกราดยิงที่ศูนย์เด็กเล็กอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งทำให้มีเด็กเล็ก และประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

 

 

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษและแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ในตอนหนึ่งว่า ขอชื่นชมคณะกรรมการ คปภ. ผู้บริหาร บุคคลากรสำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ตลอดจนผู้มีส่วนร่วมที่ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการจัดงานเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติองค์กร หน่วยงาน และบุคคลดีเด่นด้านการประกันภัย ที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์คุณประโยชน์ต่อระบบการประกันภัยและต่อสังคม และขอบคุณภาคธุรกิจประกันภัยที่ได้มีบทบาทสำคัญร่วมกับภาครัฐและสำนักงาน คปภ. เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนผ่านระบบการประกันภัย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยภาคธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจ แม้จะเกิดสถานการณ์ที่ยากลำบากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ภาคธุรกิจประกันภัยยังสามารถผ่านพ้นมาได้ ในระบบประกันภัยมีส่วนสำคัญ 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ผู้บริโภค ลูกค้ารายย่อย นิติบุคคล หรือร่วมกลุ่มเป็นสถาบันต่าง ส่วนที่ 2 ภาคธุรกิจ บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย และ ส่วนที่ 3 ผู้กำกับดูแล (Regulator) คือ สำนักงาน คปภ. ซึ่งทั้งสามส่วนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญของการประกอบธุรกิจคือการแสวงหากำไร ในขณะเดียวกันต้องไม่เป็นภาระของประชาชน ประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเงิน ประชาชนควรรู้ว่ามีทางเลือกอย่างไร เพื่อการวางแผนที่ถูกต้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสำนักงาน คปภ. ในการพิจารณาอนุญาตแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยควรจะต้องมีสนามทดสอบ sandbox เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการทำประกันภัยและการคุ้มครองผู้บริโภค โดยลูกค้าผู้บริโภคจะต้องมีความเข้าใจทักษะการเงิน Financial literacy ซึ่งจากการสำรวจทักษะทางเงินก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้ามามีส่วนร่วมในระบบประกันภัย การพัฒนาทักษะทางการเงินของประชาชนมีความสำคัญที่จะทำให้การตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บทบาทของภาคธุรกิจประกันภัยนอกจากเป็นการระดมเงินออมแล้วการให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในในช่วงเวลานั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญ 

พัฒนาการของการประกันชีวิตและการประกันวินาศภัยมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพคือการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกร เรื่องสภาวะภูมิอากาศก็เป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทจะต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อไป และในอนาคตจะต้องให้เกษตรกรมีส่วนร่วมมากขึ้น สิ่งสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐซึ่งก็เป็นโอกาสของภาคธุรกิจประกันภัย นอกจากนี้การปรับตัวของธุรกิจประกันภัยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำได้ดีแล้ว มีการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชนรายย่อย และมีความเข้มข้นในการกำกับดูแลของคปภ. โดยภาคธุรกิจประกันภัยมีความท้าทายในอนาคตอยู่ 3 เรื่อง คือ การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society การออมเงินของข้าราชการ และการออมของภาคประชาชนผู้ใช้แรงงาน ทั้งนี้การอำนวยความสะดวกของภาครัฐในการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ E-Government จะเป็นการลดภาระทางเอกสารโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและลดขั้นตอนในการทำงานต่อไปในอนาคต 

 

 

จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ทำพิธีเปิดงาน Thailand InsurTech Fair (TIF) ครั้งที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งงาน TIF เป็นงานที่เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของบริษัทประกันภัยชั้นนำทั่วฟ้าเมืองไทย และบุคลากรผู้คร่ำหวอดในวงการประกันภัยทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนพันธมิตรประกันภัยจากทั่วทุกมุมโลกที่จะมาสร้างเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน โดยภายในงานประกอบด้วย การจัดนิทรรศการให้ความรู้ด้านการประกันภัย การจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยแบบใหม่ และรายการส่งเสริมการขาย อาทิ ส่วนลดสูงสุด 30% การสัมมนาเกี่ยวกับการประกันภัยและเทคโนโลยีการประกันภัยที่น่าสนใจ การนำเสนอเทคโนโลยีประกันภัยและนวัตกรรม จาก tech startup และ การหารือและจับคู่ธุรกิจภายในงาน เพื่อการสร้างเครือข่าย เป็นต้น โดยรัฐมนตรีฯ ได้เข้าเยี่ยมชมบูธและเป็นประธานในพิธีเปิดบูธของสำนักงาน คปภ. และของบริษัทประกันภัยอีกหลายแห่ง บรรยากาศในงาน TIF เป็นไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

 

 

ด้าน ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กล่าวว่า อุตสาหกรรมประกันภัยไทย ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากระบบเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนผ่านจากบริบทของโลกในยุคความปกติใหม่ (New Normal) ไปสู่โลกในยุคหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโลกในยุคความปกติถัดไป (Next Normal) นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในอีกหลาย ด้าน เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม ที่สืบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นต้น ทำให้สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนในด้านการประกันภัย ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งภาคส่วนอื่น ที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุกที่สำคัญต่าง เพื่อให้ระบบการประกันภัยมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นที่พึ่งพิงของประชาชน รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในกรณีการเพิกถอนใบอนุญาตของบริษัทประกันภัย จัดตั้งศูนย์ให้คำแนะนำ รับเรื่องร้องเรียน และสนับสนุนบุคลากรอำนวยความสะดวกในการรับคำขอรับชำระหนี้ เพื่อให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง มีการจัดเตรียมสถานที่ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และพัฒนาเทคโนโลยีเว็บแอปพลิเคชันเพื่อใช้เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารผู้เอาประกันภัย 

รางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ถือเป็นรางวัลที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง โดยในปีนี้ได้มีการพิจารณาคัดเลือกอย่างเป็นธรรมและเข้มข้นภายใต้กรอบกติกาที่กำหนดไว้ สำหรับรางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame) ประจำปี 2564 ได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสำนักงาน คปภ. และระบบประกันภัย ประจำปี 2564 จำนวน 4 รางวัล ได้แก่ นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนายกมลภพ วีระพละ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มงานการเงินและบัญชี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2564 อันดับที่ 1 บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และรางวัลบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2564 อันดับที่ 1 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น           

 

       

ผมขอแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัลทุกคน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคนจะยังคงมุ่งมั่นรักษาคุณภาพการดำเนินการและการให้บริการแก่ประชาชน รวมทั้งยกระดับการดำเนินการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นทั้งแบบอย่างที่ดี และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการประกันภัยเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในฐานะเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยง อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงและยั่งยืนทางเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และขอเชิญชวนประชาชนมาเที่ยวงานมหกรรมการประกันภัย” Thailand InsurTech Fair 2022 หรือ TIF 2022 ภายใต้ธีมก้าวสู่จักรวาลแห่งเทคโนโลยีประกันภัย เพื่อโลกใหม่ไร้ขีดจำกัด” Reshaping Insurance to the Multiverse of InsurTech for the Future” ระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2565 ฮอลล์ 6 อิมแพคเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นอกจากจะได้รับความรู้เกี่ยวกับประกันภัยและนวัตกรรมต่าง ด้านการประกันภัย และเทคโนโลยีด้านประกันภัยแล้วยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยราคาพิเศษลดสูงสุด 30% พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย และ ไฮไลท์สำคัญคือในวันพรุ่งนี้ (8 ตุลาคม 2565) จะมีการตัดสินการประกวดนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย OIC InsurTech Award 2022 ทั้งนี้งาน “Thailand InsurTech Fair 2022 จะจัดขึ้นในลักษณะ Hybrid ทั้งรูปแบบ Online สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ www.tif2022.com หรือในรูปแบบ Onsite โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง tif@oic.or.th หรือทาง Facebook Page : Center of InsurTech Thailand ..แล้วพบกันครับเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

ไฟล์ต่างๆ: 
AttachmentSize
Image icon s_16630311.jpg342.16 KB
Image icon s_16630333.jpg319.2 KB
Image icon s_16630332.jpg353.88 KB
Image icon s_16630331.jpg332.59 KB
Image icon s_16630329.jpg338.42 KB
Image icon s_16630328.jpg325.79 KB
Image icon s_16630327.jpg382.42 KB
Image icon s_16630326.jpg320.05 KB
Image icon s_16630325.jpg444.25 KB
Image icon s_16630324.jpg352.28 KB
Image icon s_16630323.jpg330.72 KB
Image icon s_16630322.jpg315.5 KB
Image icon s_16630321.jpg316.93 KB
Image icon s_16630320.jpg321.06 KB
Image icon s_16630318.jpg320.75 KB
Image icon s_16630317.jpg306.41 KB
Image icon s_16630316.jpg325.3 KB
Image icon s_16630315.jpg323.19 KB
Image icon s_16630313.jpg329.4 KB
Image icon s_16630312.jpg334.56 KB
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ.ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือด้านการประกันภัยเป็นการด่วน เหตุอดีตตำรวจคลั่งกราดยิง 36 ศพ ที่หนองบัวลำภู

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
06 ตุลาคม 2565

คปภ.ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือด้านการประกันภัยเป็นการด่วน เหตุอดีตตำรวจคลั่งกราดยิง 36 ศพ ที่หนองบัวลำภู

 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีอดีตตำรวจได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญโดยใช้อาวุธปืนและมีดทำร้ายครูและนักเรียนเด็กเล็กภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู รวมทั้งใช้อาวุธปืนยิงภรรยา ลูก และตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านพัก รวมมีผู้เสียชีวิต 36 ราย บาดเจ็บ 12 ราย นั้น
 
ทันทีที่ทราบข่าว เลขาธิการ คปภ. ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เร่งบูรณาการการทำงานร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค โดยสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุดรธานี ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ได้ติดตามและลงพื้นที่แล้วและได้มีการตั้งศูนย์เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยเพื่อบูรณาการการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย และบริษัทประกันภัยว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ผู้เสียชีวิต หรือผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้มีการทำประกันภัยกลุ่มหรือประกันภัยส่วนบุคคลประเภทอื่น ๆ ไว้หรือไม่ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ มีการทำกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม สำหรับสถานศึกษา กับบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 ผู้เอาประกันภัยตามรายชื่อที่แจ้งไว้กับบริษัท โดยมีข้อตกลงความคุ้มครอง ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ สายตา การรับฟัง การพูดออกเสียง หรือทุพพลภาพถาวร (อบ.2) จำนวนเงินเอาประกันภัย นักเรียน/บุคลากร จำนวน 50,000 บาทต่อราย ซึ่งทางสำนักงาน คปภ. ได้ประสานงานและจะดูแลเพื่อให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว
ในส่วนของผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล สำนักงาน คปภ.ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุดรธานี ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูได้เข้าเยี่ยมและอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้แก่ครอบครัวของผู้บาดเจ็บและเข้าตรวจสอบว่าผู้บาดเจ็บมีประกันภัยประเภทอื่น ๆ หรือไม่แล้ว โดยจากการตรวจสอบพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ประสบเหตุบางรายมีการทำประกันภัย แต่กรมธรรม์ประกันภัยได้หมดความคุ้มครองแล้วและไม่มีการต่ออายุ สำหรับรายที่ยังมีความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย สำนักงาน คปภ. จะเร่งดำเนินการติดตามประสานงานให้บริษัทประกันภัยชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนโดยเร็วต่อไป 
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และจะระดมสรรพกำลังบุคลากรของสำนักงาน คปภ. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมทั้งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำระบบประกันภัยเข้าไปเยียวยาความเสียหายโดยเร็วต่อไป แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อันนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุเสมอ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท จึงควรทำประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประกันชีวิต การประกันอุบัติเหตุ การประกันสุขภาพ เพื่อนำระบบประกันภัยมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและเข้าไปเยียวยาความสูญเสียทั้งต่อตนเองและบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบ สำหรับกรณีที่ทำประกันภัยไว้แล้วก็ควรตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์อย่าให้ประกันภัยขาด เพื่อระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยเยียวยาความสูญเสีย หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัยให้สอบถามหรือแจ้งสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
....................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. เร่งหาข้อยุติแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV แพง

< >
วันที่เผยแพร่: 
06 ตุลาคม 2565

สำนักงาน คปภ. เร่งหาข้อยุติแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV แพง

 เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย
 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ในยุคปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (รถ EV) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการยานยนต์โลก และวงการยานยนต์ไทย ด้วยประชาชนได้เล็งเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญในการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า สร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างมากจากผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทย ทำให้เกิดกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไปอย่างมาก สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย พัฒนา ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย จึงได้เชิญบริษัทประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายบริษัท และผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยหลายครั้ง เพื่อหารือข้อสรุปเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสรุปผลได้ 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
 
ประเด็นแรก สถานการณ์โดยทั่วไป ปัจจุบันมีรถ EV จดทะเบียนทุกประเภทประมาณ 20,000 คัน แบ่งเป็นรถเก๋งประมาณ 7,500 คัน และรถประเภทอื่น ๆ อาทิ รถจักรยานยนต์และรถโดยสารประมาณ 12,500 คัน และบริษัทกำหนดเบี้ยประกันภัยรถ EV สัญชาติเอเชียสูงกว่ารถสันดาปในระดับเดียวกันประมาณ 5-10% รถยุโรปสูงกว่าประมาณ 10-15% และอเมริกาสูงกว่าประมาณ 20-25% ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์กลุ่มนี้
 
ประเด็นที่ 2 ได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของการรับประกันภัยรถ EV ที่มีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถสันดาปในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 800:1 ลักษณะการซ่อมไม่ว่าจะเสียหายมากหรือน้อย จะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนยกชุดอุปกรณ์แทนการซ่อม ซึ่งจะทำให้มีราคาต้นทุนค่อนข้างสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ยี่ห้อ ORA ราคาทุนประกันภัยประมาณ 8 แสนบาทส่วนของแบตเตอรี่ที่เสียหายต้องมีการเปลี่ยน ต้นทุนในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุดประมาณ 5 แสนบาท สำหรับความถี่ในการเกิดเหตุนั้นใกล้เคียงกับรถสันดาป แต่ต้นทุนในการเกิดเหตุสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ส่งผลให้ Loss Ratio เฉลี่ยของรถ EV สูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ซึ่งข้อมูลจากการรับประกันภัยรถ EV ของต่างประเทศซึ่งมีประสบการณ์ในการรับประกันภัยมาก่อนพบว่ามี Loss Ratio สูงมากกว่ารถสันดาปถึง 30-40%
 
ประเด็นที่ 3 ที่ประชุมเห็นตรงกันในการแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัย ระยะสั้นและเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย ดังนี้
- การจัดทำเอกสารแนบท้าย กำหนดทางเลือกเฉพาะกรณีแบตเตอรี่ได้รับความเสียหายและต้องมีการเปลี่ยนแบบยกชุดเท่านั้น (กรณีใช้วิธีการซ่อม บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด) โดยให้มีทางเลือก 3 กรณี ให้ผู้เอาประกันภัยเลือกข้อใดข้อหนึ่ง และบริษัทจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย 10-25% (ตามประสบการณ์ของแต่ละบริษัท) ดังนี้
        กรณีที่ 1 จำกัดจำนวนเงินความคุ้มครองของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองไม่ต่ำไปกว่า 50% ของมูลค่าแบตเตอรี่ หรือ
        กรณีที่ 2 กำหนดความรับผิดส่วนแรก โดยจะระบุไม่เกิน 15% ของมูลค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ
        กรณีที่ 3 Copayment กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายร่วมไม่เกิน 15%
      - ที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันว่าในช่วงนี้บริษัทประกันภัยรถ EV จะไม่มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมโดยบริษัทจะคงราคานี้ไว้ไปก่อน แม้ว่า Loss Ratio ของกลุ่มนี้จะสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก 
      - สิ่งที่จะดำเนินควบคู่กันไปเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนคือจะดำเนินการเก็บรวบรวมสถิติในการรับประกันภัยรถ EV และศึกษารูปแบบการประกันภัยเพื่อจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV เพื่อให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัย ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยใหม่ที่บริษัทประกันภัยในประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ โดยกำหนดแผนดำเนินการในปี 2566
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่าตนได้สั่งการให้สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยเร่งพิจารณาร่างเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถ EV ร่วมกับสายกฎหมายและคดีเพื่อเสนอต่อนายทะเบียนพิจารณาให้ความเห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนต่อไป
“การประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (รถ EV) แพง เป็นมาตรการระยะสั้นและเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่และมีประเด็นแตกต่างจากกรณีประกันภัยรถยนต์ทั่วไป ในอนาคตจำเป็นจะต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ EV โดยเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV เพื่อให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัยอันจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
.................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

หน้า

Subscribe to RSS - ข่าว