ข่าว

คปภ. เปิดเกมรุกต้อนรับตรุษจีน..! ลุยส่งมอบ “ประกันภัยน่ารู้สู่ประตูบ้านประชาชน”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
21 มกราคม 2566

  คปภ. เปิดเกมรุกต้อนรับตรุษจีน..! ลุยส่งมอบ “ประกันภัยน่ารู้สู่ประตูบ้านประชาชน”

 
นำทัพประกันภัยลงพื้นที่ชุมชนเกาะลัดอีแท่น จังหวัดนครปฐม แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6 อย่างคึกคัก เพื่อสร้างความรู้ด้านประกันภัยแก่ชาวชุมชนพร้อมเตือนภัยที่เกิดจากมิจฉาชีพ                แก๊ง Call Center และการฉ้อฉลประกันภัยเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ประชาชน
 
 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566 ณ ชุมชนเกาะลัดอีแท่น อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ของประเทศ ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและคุณประโยชน์ของการประกันภัย และสามารถใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต และทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีความเข้มแข็ง สังคมไทยมั่นคง และเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
 
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวเปิดโครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6” ในตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. 
ได้มีการปรับปรุงและต่อยอดโครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเติมเต็มความรู้ด้านประกันภัยไปสู่ชุมชน ผ่านกิจกรรมเต็มรูปแบบ อาทิ การส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยให้เหมาะสมกับบริบทของชุมชนผ่านการเสวนาในหัวข้อ “ประกันภัยน่ารู้สู่ชุมชน” ที่มีการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างสำนักงาน คปภ. และประชาชนในชุมชน การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัยและการระงับข้อพิพาทด้านการประกันภัยโดยผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่  ตลอดจนการเข้าร่วมกิจกรรมฐานความรู้ประกันภัยสู่วิถีชุมชน โดยสร้างการรับรู้จากประสบการณ์จริงในพื้นที่นำมาถ่ายทอดต่อให้กับคนในชุมชนได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการประกันภัยที่เกิดขึ้น ตลอดจนการเยี่ยมชมวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพของผู้คนในชุมชน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มีต่ออุตสาหกรรมประกันภัยในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนของประเทศ และที่เป็นจุดเด่นในการให้ความรู้ด้านประกันภัยกับชาวชุมชนก็คือการเคาะประตูบ้าน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารจัดการความเสี่ยงและการเกิดภัยของประชาชน 
รวมไปถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทใหม่ ๆ เพราะสำนักงาน คปภ. เชื่อว่านอกจากจะสร้างความรู้ความเข้าใจกับชุมชนแล้ว การทำความเข้าใจความต้องการของชุมชน จะมีส่วนสำคัญให้สำนักงาน คปภ. พัฒนาและนำเสนอรูปแบบการประกันภัยที่ตรงใจ และตอบโจทย์ประชาชนได้มากที่สุด
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ไฮไลท์ของโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6 ในปีนี้มี 5 ความพิเศษ คือ ความพิเศษแรก มีการบูรณาการโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ให้เชื่อมโยงเข้ากับ โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยได้ตรงตามความต้องการในระดับภาค จังหวัด และชุมชนอย่างแท้จริง เช่น ประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกันภัยอ้อยที่จังหวัดอุทัยธานี ประกันภัยโรคจากพยาธิใบไม่ในตับ (มะเร็งท่อน้ำดี) ที่จังหวัดนครพนม ประกันภัยยางพาราที่จังหวัดชุมพร และประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ
ที่จังหวัดศรีสะเกษ
 
ความพิเศษที่สอง สำนักงาน คปภ. ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนจังหวัดที่เคยลงพื้นที่ไปแล้วในโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 2 ได้แก่ จังหวัดชุมพร และโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ได้แก่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ เพราะเป็นจังหวัดที่มีความน่าสนใจ และมีชุมชนที่มีความหลากหลาย โดยจังหวัดชุมพรเป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีขีดความสามารถทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและจะนำมาซึ่งความจำเป็นในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แม่ฮ่องสอนก็มีความน่าสนใจเพราะเป็นจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดต่อหัวน้อยที่สุดในภาคเหนือ 
ซึ่งประกันภัยก็จะยังมีบทบาทสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือที่จะเข้าไปช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนและจังหวัดให้ดีขึ้น
 
ความพิเศษที่สาม การนำหลักการของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมโครงการ สำนักงาน คปภ. เชื่อว่า นอกเหนือจากการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวแล้ว สำนักงาน  คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลก็ได้ประยุกต์หลักการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานเช่นกัน และในปีนี้ ชุมชนทั้ง 5 ชุมชนที่ถูกเลือก ล้วนแล้วแต่มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน มีวิถีชีวิตและผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นที่ตอบโจทย์ในด้านการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environment)  
ความพิเศษที่สี่ โครงการ คปภ. เพื่อชุมชนไม่ได้เป็นเพียงการลงพื้นที่รับทราบเรื่องราวของชุมชน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สำนักงาน คปภ. จะได้ร่วมแบ่งปันกลับคืนสู่สังคมหรือการจัดกิจกรรม CSR ในรูปแบบต่าง ๆ โดยสำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยได้ส่งต่อกำลังใจ ความคุ้มครองและการบริหารความเสี่ยงผ่านกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเฝ้าระวังป้องกันไฟป่าและลูกจ้างชั่วคราวของอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ที่มีการพัฒนาให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบที่เรียกว่า Tailor made 
และความพิเศษที่ห้า ในการเสวนาที่จะให้ความรู้แก่ชาวชุมชนในเรื่องประโยชน์และประเภทของประกันภัย             ที่เป็นประโยชน์แก่ชาวชุมชนแล้ว ยังจะเพิ่มความรู้เกี่ยวกับภัยของมิจฉาชีพ เช่น แก๊ง Call Center และการฉ้อฉลประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเตือนภัยและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ชาวชุมชน
 
สำหรับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6 มีกำหนดลงพื้นที่ชุมชน จำนวน 5 ชุมชน คือ ครั้งที่ 1 (วันที่ 30 มกราคม 2566) ลงพื้นที่ชุมชนบ้านสันติชล อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นชุมชนไทยใหญ่และชุมชนชาวจีนยูนานที่ย้าย   ถิ่นฐานจากจีนแผ่นดินใหญ่มาตั้งรกรากยังอำเภอปาย โดยในอดีตเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ครั้งที่ 2 (วันที่ 20 - 21 กุมภาพันธ์ 2566) ลงพื้นที่ชุมชนผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งชุมชนแห่งนี้สืบทอดภูมิปัญญามานานกว่า 300 ปี จึงตั้งเป็น “ศูนย์ผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง” เพื่อเผยแพร่วิถีและวัฒนธรรมผ่านผืนผ้าของชาวลาวครั่งและลาวเวียง จากรุ่นสู่รุ่น     ครั้งที่ 3 (วันที่ 13 - 14 มีนาคม 2566) ลงพื้นที่ชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เป็นชุมชนที่มีความผูกพัน  กับธรรมชาติ ส่วนมากจะประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าว นอกจากนี้ประชากรในพื้นที่จัดตั้งกลุ่มเพื่อหารายได้เสริม จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น กลุ่มอาชีพทอผ้าพื้นเมือง กลุ่มอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า สินค้าที่ขึ้นชื่อ คือ ข้าวปุ้นน้ำนัว เหล้าอุ ผ้าพื้นเมือง เป็นต้น
ครั้งที่ 4 (วันที่ 26 - 28 มีนาคม 2566) ลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ อำเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งชุมชนแห่งนี้มีแหล่งน้ำสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก พื้นที่เป็นแหล่งผลิตพืชสวนที่มีชื่อเสียงของจังหวัด โดยเฉพาะกาแฟที่ดำเนินการในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน และยางพารา รวมทั้งไม้ผลอื่น ๆ เช่น ทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ เป็นต้น และครั้งที่ 5 
(วันที่ 25 – 27 มิถุนายน 2566) ลงพื้นที่ชุมชนบ้านซำตารมย์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยชุมชนแห่งนี้มีการเพาะปลูกทางการเกษตรที่สร้างรายได้และผลผลิตให้แก่ชุมชน ซึ่งมีการรวมกลุ่มให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรวิถี โดยมีการรวมกลุ่มเกษตรกรในชุมชน โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า "กลุ่มผู้ผลิตทุเรียนคุณภาพดี บ้านซำตารมย์"
 
“สำนักงาน คปภ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 6” จะทำให้ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ     ของประเทศ ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัย เกิดการตื่นตัว และได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับ          ประกันภัย ได้รับภูมิคุ้มกันด้านประกันภัย และสามารถใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต    และทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัว ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของชุมชนมากยิ่งขึ้น และช่วยทำให้การบริหาร   ความเสี่ยงของชาวชุมชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
.................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

“คปภ. - สรพ.” ลงนาม MoU ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้านประกันภัย

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
19 มกราคม 2566

“คปภ. - สรพ.” ลงนาม MoU ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้านประกันภัย

ด้วยสถานพยาบาลมาตรฐานการรับรองกระบวนการคุณภาพ HA
 
  ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการขับเคลื่อนระบบประกันภัยควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการของสถานพยาบาลเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านการรักษาพยาบาลที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย และผ่านมาตรฐานการรับรองกระบวนการคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) ซึ่งจะทำให้ผู้เอาประกันภัยที่เข้ารับการรักษาพยาบาลได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยสำนักงาน คปภ. เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการใช้บริการในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเลือกปฏิบัติของโรงพยาบาลระหว่างผู้ป่วยที่ทำประกันภัยสุขภาพกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทำประกันภัยสุขภาพ และจะช่วยลดปัญหาข้อพิพาทด้านการประกันภัย รวมทั้งการฉ้อฉลประกันภัย ทั้งนี้การเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่ผ่านมาตรฐานการรับรองกระบวนการคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) จากสรพ. ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่มีบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายในการประเมินและรับรองระบบบริการสุขภาพของสถานพยาบาล ซึ่งได้รับการรับรองมาตฐาน การดำเนินงาน และการพัฒนาผู้ตรวจประเมิน โดยองค์กรระหว่างประเทศในระดับสากล 1 ใน 13 ประเทศทั่วโลก นำมาซึ่งความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในระบบบริการของสถานพยาบาล จึงเป็นที่มาที่สำนักงาน คปภ. โดยเลขาธิการ คปภ. และ สรพ. โดยพญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ณ ห้องประชุมชั้น 2 สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 โดยมีผู้บริหารสำนักงาน คปภ.และผู้บริหาร สรพ. ร่วมเป็นสักขีพยาน
 
เพื่อขับเคลื่อนภารกิจให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ MoU สำนักงาน คปภ.และ สรพ. ได้กำหนดกรอบการดำเนินงานร่วมกันใน 3 ด้านหลัก ๆ คือ ด้านแรก ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุน ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ระบบประเมินการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) การดำเนินการของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ให้แก่ประชาชน ภาคธุรกิจประกันภัย บุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง 
ด้านที่ 2 สำนักงาน คปภ. จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัย มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพที่รองรับการเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่ผ่านมาตรฐานการรับรองคุณภาพ ตลอดจนให้ความร่วมมือดำเนินโครงการหรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เอาประกันภัยในเรื่องความปลอดภัยของการให้บริการในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) อันจะช่วยลดข้อผิดพลาดในการรักษา
 
และด้านที่ 3 สรพ. จะสนับสนุน ส่งเสริม และผลักดันให้สถานพยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข และประชาชนทั่วไป ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการของสำนักงาน คปภ. และการประกันภัย พร้อมทั้งร่วมมือดำเนินโครงการหรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาระบบการประกันภัยสุขภาพของประเทศไทยให้มีคุณภาพและสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย เช่น ความเสี่ยงภัยด้านสุขภาพ ความเสี่ยงภัยด้านความรับผิดของบุคลากรทางการแพทย์ และสถานพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ระบบบริการสุขภาพที่ผ่านมาตรฐานการรับรองคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจเลือกสถานพยาบาลที่ประชาชนประสงค์จะเข้ารับการรักษาพยาบาล
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งใน Stakeholder ที่สำคัญในระบบสุขภาพของไทยในฐานะกลไกงบประมาณที่ซื้อบริการสุขภาพเช่นเดียวกับระบบบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพของประชาชน ทั้งประกันภัยภาคบังคับเพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการใช้รถ และประกันภัยภาคสมัครใจ เช่น ประกันภัยสุขภาพต่าง ๆ เป็นต้น 
 
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจประกันภัยมีส่วนสำคัญในการทำให้ผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพหรือการรักษาพยาบาล และเป็นอีกกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ จากหน่วยบริการที่ผ่านการรับรองกระบวนการคุณภาพ (Healthcare Accreditation : HA) ในระดับสากล
“ด้วยเหตุนี้ สรพ.จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมลงนาม MoU กับสำนักงาน คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ในการขับเคลื่อนคุ้มครองให้ประชาชนได้เข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่ได้ผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน HA ตลอดจนร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านการประกันภัยและด้านการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลแก่ประชาชน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์องค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในกิจการประกันภัยด้านสุขภาพในอนาคต” พญ.ปิยวรรณ กล่าว
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนาม MoU ในครั้ง มีประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมาตรฐาน HA เปรียบเสมือนเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการกำกับกระบวนการต่าง ๆ ของสถานพยาบาลให้มีคุณภาพและป้องกันข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และจะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติของโรงพยาบาลระหว่าง ผู้ป่วยที่ทำประกันภัยสุขภาพกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทำประกันภัยสุขภาพ ตลอดจนปัญหาที่เกิดจากการรักษาพยาบาลที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน ดังนั้น หากมีการสนับสนุนให้ผู้เอาประกันภัยเข้ารับบริการจากสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง HA ก็น่าจะเป็นกลไกที่ใช้ควบคุม กำกับมาตรฐานการรักษาเหล่านี้ได้ และจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือคุ้มครองประชาชน และสร้างความเป็นธรรมให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยอย่างมีนัยสำคัญ
 
“สำนักงาน คปภ. จะช่วยส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อดี และประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกใช้บริการจากสถานพยาบาลได้รับการรับรองคุณภาพ HA ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยนิยมใช้บริการกับสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง HA ก็จะเป็นกลไกที่ช่วยกระตุ้นให้สถานพยาบาลต่าง ๆ เข้าร่วมประเมิน HA มากขึ้น ส่วนสถานพยาบาลที่ผ่านการประเมิน HA แล้วก็จำเป็นต้องพัฒนาการให้บริการที่ดี มีคุณภาพยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
.......................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีเรือบรรทุกน้ำมันระเบิดจังหวัดสมุทรสงคราม

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
18 มกราคม 2566

คปภ. ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีเรือบรรทุกน้ำมันระเบิดจังหวัดสมุทรสงคราม

 
ตรวจสอบพบเรือบรรทุกน้ำมัน (SMOOTH SEA 22) ทำประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull Insurance) วงเงิน 60 ล้านบาท ส่วนผู้บาดเจ็บ 1 ราย มีกรมธรรม์ประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล พร้อมสั่งการให้สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครปฐม ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่เกิดเหตุ ตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยเพื่อเยียวยาความสูญเสียแก่ครอบครัวผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่
 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) 
เปิดเผยว่า จากกรณีเรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ “SMOOTH SEA 22” หมายเลข IMO9870991 เกิดอุบัติเหตุระเบิดและเกิดเพลิงลุกไหม้ขณะจอดซ่อมบำรุงตามวงรอบข้อบังคับการตรวจเรือของกรมเจ้าท่า ภายในอู่ต่อเรือ บริษัท 
รวมมิตรด็อคยาร์ด จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ตำบลแหลมใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 โดยเบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 6 ราย ผู้บาดเจ็บ 4 ราย ถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ซึ่งรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2 ราย กลับบ้านได้แล้ว 2 ราย และมีผู้สูญหาย 3 ราย โดยพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครปฐม สังกัดสำนักงาน คปภ.ภาค 7 (นครปฐม) จึงได้สั่งการให้สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครปฐม ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยของเรือลำดังกล่าว พร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครปฐม ว่า เรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ “SMOOTH SEA 22” หมายเลข IMO9870991 มีกรมธรรม์ประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull Insurance) ทำไว้กับบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 26 มีนาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 26 มีนาคม 2566 
ทุนประกันภัย 60,000,000 บาท นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า ผู้บาดเจ็บ 1 ราย มีกรมธรรม์ประกันชีวิต 
ทุนประกันภัย 500,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแยกค่าใช้จ่ายความคุ้มครองจำนวน 4,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพวงเงินแน่นอนความคุ้มครองจำนวน 3,000 บาท ทำไว้กับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 
สำหรับการติดตามในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้บาดเจ็บที่ทำประกันภัยไว้นั้น สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครปฐม ได้ประสานงานไปยังบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตรวจสอบสิทธิและติดตามการจ่าย
ค่าสินไหมทดแทน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งจะเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยรายอื่น ๆ โดยเร็วที่สุด สำหรับสาเหตุการระเบิดและเกิดเพลิงไหม้บนเรือดังกล่าวนั้นอยู่ระหว่าง
การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย 
และส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยผู้ว่าราขการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานจัดตั้งกองอำนวยการรวมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมใหญ่ เพื่อสำรวจความเสียหาย ติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และตรวจสอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยในครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่นเพิ่มเติมก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ 
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้ประสบภัยในครั้งนี้ และจะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ดังนั้นการทำประกันภัยจึงเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในทุกมิติ จึงขอฝากเตือนประชาชนให้ความสำคัญและหันมาทำประกันภัยกันให้มากขึ้น เพราะหากเกิดความเสียหายจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ระบบประกันภัยจะช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ในส่วนของผู้ประกอบการเดินเรือ อู่ซ่อมเรือ ก็ควรทำประกันภัย ซี่งมีกรมธรรม์ประเภทต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงหรือผลกระทบต่อบุคคลภายนอกด้วย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยด้านประกันภัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
                             ...............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เผยช่วง 7 วันอันตราย ปีนี้มอเตอร์ไซค์ยังครองแชมป์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด พบไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. ถึง 44%

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
06 มกราคม 2566

คปภ. เผยช่วง 7 วันอันตราย ปีนี้มอเตอร์ไซค์ยังครองแชมป์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด พบไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. ถึง 44%  

เลขาธิการ คปภ. กำชับสำนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ เร่งติดตามค่าสินไหมทดแทนเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มที่
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาตลอด โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเพื่อให้มีการนำระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ 
 
สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 มีพี่น้องประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางพบปะญาติมิตรตามประเพณีส่งผลให้การใช้รถใช้ถนนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัย พร้อมสั่งการให้สำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ติดตามและรายงานความเสียหายด้านประกันภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้ออก 7 มาตรการ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเทศกาลปีใหม่ และพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกับประชาชนผู้ประสบภัยได้ทันท่วงทีกรณีเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย มาตรการแรก เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่กับศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ เพื่อให้การสนับสนุน และให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยกับหน่วยงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
 
มาตรการที่ 2 ร่วมกับจังหวัดตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ณ จุดตรวจร่วม/จุดบริการร่วม รวมทั้งประสานและประชุมกับเครือข่ายประกันภัยในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและสนับสนุนข้อมูลด้านการประกันภัย การจัดการสินไหมทดแทนให้กับประชาชน หากมีเหตุหรือความจำเป็นที่จะต้องได้รับการเยียวยาช่วยเหลือด้านการประกันภัย พร้อมร่วมตั้งศูนย์บริการประกันภัยช่วง 7 วัน อันตรายระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัย ณ สำนักงาน คปภ.ภาค/จังหวัดทั่วประเทศ
 
มาตรการที่ 3 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวไทย ปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) 
เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม 
และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มคือ ผู้ประกอบการ ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) ช่วงอายุการรับประกันภัยตั้งแต่ 20-70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 
 
มาตรการที่ 4 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ปีใหม่สุขใจ บ้านปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มคือ ผู้ประกอบการ ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 30,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) ช่วงอายุการรับประกันภัยตั้งแต่ 20-70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 
 
มาตรการที่ 5 จัดกิจกรรมรณรงค์และประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น และ/หรือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รวมถึงสื่อมวลชนในพื้นที่ และสอดแทรกการประชาสัมพันธ์ เรื่อง กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวไทยปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ปีใหม่สุขใจ บ้านปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท การประกันภัยรถตาม พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 การรณรงค์ดื่มไม่ขับ การรณรงค์ให้ผู้ที่ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย และรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น
 
มาตรการที่ 6 ประชาสัมพันธ์ช่องทางที่จะใช้ในการติดต่อกับสำนักงาน คปภ. นอกเหนือจากสายด่วน คปภ. 1186 โดยในส่วนภูมิภาค ได้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.) เพื่อการติดต่อประสานงานและบูรณาการร่วมกัน เป็นต้น 
ทั้งนี้จากข้อมูล ในช่วง 7 วันอันตราย ได้มีประชาชนใช้บริการผ่านบริการสายด่วน คปภ. 1186 เป็นจำนวนมาก 
โดยประเด็นหารือที่มีประชาชนสอบถามเข้ามามากที่สุด 5 อันดับ ประกอบด้วย ตรวจสอบและสอบถามเงื่อนไขความคุ้มครองประกันภัยรถภาคบังคับ ตรวจสอบและสอบถามเกี่ยวกับประกันภัยรถภาคสมัครใจ ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับใบอนุญาต/สมัครสอบ/อบรม/การขอรับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัย ประเภทนิติบุคคล ต้องการร้องเรียนด้านประกันภัย  และขอคัด ตรวจสอบ ติดตามกรมธรรม์ประกันภัย ตามลำดับ
 
มาตรการที่ 7 กรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ สำนักงาน คปภ.ภาคและจังหวัด พร้อมลงพื้นที่โดยทันทีเพื่อติดตามช่วยเหลือและตรวจสอบด้านการประกันภัยเบื้องต้นว่ามีผู้ประสบภัยจากรถมีการทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยใด  ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ประสานผู้ประสบภัย ทายาทผู้ประสบภัย และบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งติดตามให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่จังหวัดจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตำรวจ สำนักงานขนส่งจังหวัด รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สาขาบริษัทประกันภัย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าผู้ประสบภัยได้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก จะได้ประสานบริษัทประกันภัยเพื่อช่วยติดตามการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไป
จากข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ในช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม – 4 มกราคม 2566 ของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 (ศปถ.) พบว่าสถิติอุบัติเหตุสะสม 2,440 ครั้ง เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว 2,707 ครั้ง ลดลง 267 ครั้ง (คิดเป็น -9.68%) จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (79 ครั้ง) รองลงมาได้แก่ จังหวัดสงขลา (75 ครั้ง) และจังหวัดเชียงราย (73 ครั้ง) ส่วนผู้บาดเจ็บสะสม 2,437 คน เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว (2,672 คน) ลดลง 235 คน (คิดเป็น -8.79%) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี (81 คน) รองลงมาได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (79 คน) และจังหวัดสงขลา (76 คน) และมีผู้เสียชีวิตสะสม จำนวน 317 ราย เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว (333 ราย) ลดลง 16 ราย (คิดเป็น -4.80%) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย (15 ราย) รองลงมาได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี (13 ราย) และสุราษฎร์ธานี (11 ราย)
สำหรับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้านการประกันภัย สำนักงาน คปภ. ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ณ วันที่ 5 มกราคม 2566 มีการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าสินไหมทดแทน ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2566 
ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2565 - 4 ม.ค.2566 รวม 136 ราย เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว 163 ราย ลดลง 27 ราย (ลดลงร้อยละ 16.56) จำนวนเงิน 7,886,676 บาท เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว 6,037,281 บาท เพิ่มขึ้น 1,849,395 บาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.63) จึงได้สั่งการให้บริษัทประกันภัยเร่งประเมินความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน 
 
นอกจากนี้ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ร้อยละ 82.11 และในจำนวนรถจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมีร้อยละ 44 ที่ไม่ได้ทำประกันภัย พ.ร.บ. จากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ายังมีรถที่อยู่นอกระบบการประกันภัย พ.ร.บ. อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีเจ้าของรถจำนวนมากที่ยังขาดความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากเป็นผู้ที่ใช้รถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ดังนั้น หากเป็นทั้งเจ้าของรถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. และได้นำรถคันนั้นออกไปใช้เองจะมีความผิดทั้ง 2 ข้อหา โดยมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
 
“แม้ว่าการทำประกันภัยไม่สามารถป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การทำประกันภัยจะเป็นเครื่องมือที่ใช้บริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดอุบัติเหตุแล้ว การประกันภัยจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ และฝากเตือนถึงเจ้าของรถรวมถึงผู้ใช้รถขอให้ทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดและหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์ด้วยเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงและครบวงจร และถ้ามีกำลังซื้อขอให้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจเพิ่มเติม เพื่อจะได้รับความคุ้มครองที่มากขึ้น อย่างไรก็ดีจากการที่สำนักงาน คปภ. ได้รณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ส่งผลทำให้การเกิดอุบัติเหตุปีนี้ลดลง จึงขอขอบคุณภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มา ณ โอกาสนี้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
                            ......................................................................................
 
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่กรณีเพลิงไหม้ “คาสิโน” ปอยเปต ประเทศกัมพูชา

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
30 ธันวาคม 2565

คปภ. ลงพื้นที่กรณีเพลิงไหม้ “คาสิโน” ปอยเปต ประเทศกัมพูชา

 
ตรวจสอบเบื้องต้นพบคนไทยที่เสียชีวิต-บาดเจ็บหลายราย มีการทำ “ประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิต” ไว้ โดย คปภ. ได้เข้าไปช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยแล้ว
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้คาสิโนแกรนด์ ไดมอนด์ ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียชีวิต 22 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 11 ราย และมีคนไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ 56 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ตนได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว เร่งช่วยเหลือและสำรวจความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ คือ สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และ สำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว ได้ลงพื้นที่และตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือด้านการประกันภัย บริเวณลานจอดรถเทศบาลเมืองอรัญประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว
 
จากการลงพื้นที่และตรวจสอบด้านการทำประกันภัยเบื้องต้นพบว่ามีผู้ประสบภัยคนไทยที่เสียชีวิต 2 ราย จากคนไทยที่เสียชีวิต 11 ราย มีการทำประกันภัยอุบัติเหตุไว้กับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) รวมจำนวนเงินเอาประกันภัย 200,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล 10,000 บาท และในจำนวนผู้ประสบภัยคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บและเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลประเทศไทย 56 ราย มีการทำประกันภัย 10 ราย รวมจำนวนเงินเอาประกันภัยอุบัติเหตุ 1,330,000 บาท รวมจำนวนเงินเอาประกันชีวิต 1,000,000 บาท และเงินชดเชยรายวันสูงสุด 2,000 บาทต่อวัน โดยทำประกันภัยไว้กับ 3 บริษัทประกันภัย คือ บริษัท เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งสำนักงาน คปภ. ในพื้นที่ได้ประสานงานกับทั้งผู้ประสบภัย ทายาทของผู้ประสบภัย และบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งติดตามให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยในครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ จึงฝากเตือนมายังประชาชนควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยและประกันชีวิตเพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง และเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร โดยสำนักงาน คปภ.จะเร่งรัดให้มีการเยียวยาด้านประกันภัยเพื่อบรรเทาความสูญเสีย และความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยด้านประกันภัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือLine Chatbot@Oicconnect ข้อมูลอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
                               ..........................................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. ปลุกพลังพนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ เร่งยกเครื่อง ปรับกระบวนทัศน์องค์กรใหม่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2566

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
29 ธันวาคม 2565
เลขาธิการ คปภ. ปลุกพลังพนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ เร่งยกเครื่อง ปรับกระบวนทัศน์องค์กรใหม่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยปี 2566
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาพนักงาน คปภ. ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “ร่วมใจ มุ่งมั่น ก้าวล้ำ เที่ยงธรรม” หรือ “Move Smart, Move Forward, Move Together” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปผลการดำเนินงานปี 2565 และแนวทางการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมมอบนโยบายให้กับพนักงานและลูกจ้าง สำนักงาน คปภ. ณ โรงแรม โบทานิก้า เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ในช่วงปี 2565 ผลกระทบของ COVID-19 ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปเป็นแบบ New Normal ซึ่งสำนักงาน คปภ. ก็มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค Next Normal เช่นกัน โดยได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ ทั้งด้านการกำกับและส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัย การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชน โดยมีความท้าทาย 3 ประการ คือ ประการแรก ความท้าทายในด้านการกำกับและตรวจสอบดูแลธุรกิจประกันภัย โดยการพัฒนากฎเกณฑ์ด้านกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพแต่มีความยืดหยุ่นภายใต้หลัก Principle-Based 
ประการที่สอง ความท้าทายในด้านการส่งเสริม อาทิ การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และประการที่สาม การอำนวยความสะดวกด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในยุค Next Normal ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการบริการประชาชนให้มีความทันสมัย เพื่อเพิ่มโอกาสของธุรกิจประกันภัย ให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ รวมทั้งเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของธุรกิจประกันภัยให้กลับคืนมา
ในช่วงปี 2565 สำนักงาน คปภ.ได้เตรียมความพร้อมเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ SMART OIC จนออกมาเป็นรูปเป็นร่างผ่านผลงานต่าง ๆ มากมาย และได้ระดมสรรพกำลังกันอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 การเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ ผลกระทบของการเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทประกันภัย 4 ราย ฯลฯ โดยพนักงาน คปภ. ทุกคนได้ร่วมพลังกันฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ และยืนเคียงข้างประชาชน เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างถึงที่สุด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกมิติของความเสี่ยงภัย ส่งผลทำให้ในปี 2565 สำนักงาน คปภ. มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และนำมาซึ่งการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติใหญ่ ๆ มากมาย เช่น รางวัลการประเมิน ITA ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ AA มีคะแนนสูงถึง 96.51 คะแนน สูงสุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้รับ 100 คะแนนเต็มจากตัวชี้วัด “การเปิดเผยข้อมูล” และ “การป้องกันการทุจริต” รางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นจากกรมบัญชีกลาง ในส่วนของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยสำหรับทุนหมุนเวียนที่เข้ารับการประเมินจากกรมบัญชีกลาง โดยกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สำนักงาน คปภ. ได้รับรางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ด้วยคะแนนการประเมินภาพรวมสูงถึง 4.3144 คะแนน ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนสูงสุดที่กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเคยได้รับจากกรมบัญชีกลาง 
อีกรางวัลคือ “ผู้บริหารหน่วยงานอิสระดีเด่น” ประจำปี 2565 ในงาน SIAMRATH ONLINE AWARD 2022 
ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนให้เห็นว่า บทบาทและการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยมีผลงานเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ประจักษ์ต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลระดับกรม รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) ด้วยผลคะแนนรวมจัดอยู่ในกลุ่ม Very High จากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีผลคะแนนในระดับความพร้อม รวมสูงสุดถึง 82.07% และรางวัล DIGI Data Award “รางวัลชุดข้อมูลเปิดทรงคุณค่า” โดยสถาบันนวัตกรรมและธรรมาภิบาลข้อมูล ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานที่มีผลงานชุดข้อมูลเปิดยอดเยี่ยม ทำให้เห็นว่า การทำงานของสำนักงาน คปภ. เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและการวางรากฐานการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ของสำนักงาน คปภ. เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย และเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม 
“ทุกรางวัลที่สำนักงาน คปภ. ได้รับนี้ แสดงถึงความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ การพัฒนาการบริหารงานและการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งเราจะต้องไม่เพียงรักษาคุณภาพนี้ไว้ แต่จะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สำนักงาน คปภ. เป็นองค์กรหลักที่จะช่วยนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงและตลอดไป”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนโยบายการดำเนินงานในปี 2566 สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดวัฒนธรรมและค่านิยมองค์กรใหม่ คือ “ร่วมใจ มุ่งมั่น ก้าวล้ำ เที่ยงธรรม” โดยมีคำนิยาม ดังนี้ ร่วมใจ คือ ผสานความร่วมมือและไว้วางใจ (Teamwork & Trust)  มุ่งมั่น คือ ทำงานอย่างมืออาชีพ (Professionalism) ก้าวล้ำ คือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Creativity with Agility) และเที่ยงธรรม คือ ยึดหลักธรรมาภิบาลและใส่ใจสังคม (Good Governance for Good Society) ดังนั้น ทิศทางการดำเนินงานของสำนักงานในปี 2566 จะต้องมีการทบทวนและปรับทิศทางในการกำกับดูแลอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัย การฉ้อฉลประกันภัย รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยที่เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงสำคัญได้อย่างครบถ้วน และมีฐานะการเงินที่มั่นคงเพียงพอรองรับความเสี่ยงและบริบทในการดำเนินธุรกิจในอนาคต ควบคู่ไปกับการต่อยอดสนับสนุนให้บริษัทประกันภัยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากเดิมที่เคยอยู่ในสถานะของการตั้งรับและเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าสู่โหมดการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเดินทางไปสู่การสร้างสมดุลของระบบประกันภัย ควบคู่กับการเสริมสร้างความทนทาน มั่นคง และยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัย ประกอบกับในปี 2566 เป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้แผนยุทธศาสตร์สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2564 - 2566) จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์และผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ระบบประกันภัยไทยมีความมั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการประกันภัยได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยสำนักงาน คปภ. ได้กำหนด Key Result 5 เป้าหมายหลัก ดังนี้  
KR แรก ประชาชนและภาคเอกชนเชื่อมั่นในระบบประกันภัย ตระหนักถึงความเสี่ยง และใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้น มีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในมิติต่าง ๆ 
KR ที่ 2 ระบบประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมให้ฟื้นตัวจากสภาวะวิกฤตได้อย่างราบรื่น สามารถบริหารความเสี่ยงสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
KR ที่ 3 สร้างระบบนิเวศน์ที่เหมาะสม เพื่อเร่งส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่มากขึ้น 
KR ที่ 4 แนวทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของสำนักงาน คปภ. เท่าทัน สอดคล้องกับบริบทใหม่ กฎระเบียบ และมาตรฐานสากลที่เปลี่ยนแปลง
และKR ที่ 5 สำนักงาน คปภ. มุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ที่มีความยืดหยุ่น พร้อมรับความท้าทายใหม่  
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า กุญแจสำคัญสำหรับสำนักงาน คปภ. ในการปรับตัวสู่โลกหลังยุคโควิด-19 มี 4 ประการหลัก ๆ คือ ประการแรก สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับองค์กรอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการผลักดันให้มีการผนวกเรื่อง ESG (Environment, Social and Governance) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและกลยุทธ์ของสำนักงาน คปภ. รวมทั้งสนับสนุนและผลักดันให้ธุรกิจประกันภัยดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ประการที่ 2 ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยนำผลการศึกษาโครงการ Business Process Improvement มาใช้อย่างจริงจังให้สามารถรับมือและเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานในสายงานต่าง ๆ 
โดยในปี 2566 จะมีการปรับปรุงขนานใหญ่เรียกได้ว่ายกเครื่องกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะจากจุดที่เป็น touch point เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การให้บริการตัวแทนนายหน้า ระบบ E-licensing หรือ จากกระบวนการภายใน เช่น กระบวนการตรวจสอบและวิเคราะห์พัฒนาระบบสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล EWS ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบงาน e-sarabun และระบบ ERP ของสายบริหารที่มาใช้ในการจัดการดูแลทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งหมดของสำนักงาน คปภ.
ประการที่ 3 ใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัล จากระบบงานสารสนเทศที่ได้พัฒนาแล้ว มีการติดตามผลผ่านคณะทำงาน Enterprise Architecture เพื่อให้เกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงระหว่างภารกิจของสำนักงาน คปภ. กับกระบวนการการทำงานและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 
และประการที่ 4 สร้างสมดุลระหว่างการมีเสถียรภาพและการเติบโตเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนองค์กร สำนักงาน คปภ. จะต้องจริงจังเรื่องการบริหารความเสี่ยงและรักษาสมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจประกันภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 
“หากมีการวางแผนการรับมือที่ดี มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม พร้อม ๆ กับหมั่นทบทวนกลยุทธ์ แผนงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นประจำ ย่อมจะส่งผลให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในทุกมิติ และได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชน อันจะช่วยให้ระบบประกันภัยของไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
...........................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศสำนักงาน คปภ. เรื่อง ผลการตัดสินโครงการนักวิชาการประกันภัยดีเด่น ประจำปี 2565 ในหน้าเว็ปไซต์ กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย

ประกาศรับสมัครลูกจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอกเพื่อดำเนินการในการป้องกันและปราบปรามการฉ้อฉลประกันภัย ของสายกฎหมายและคดี (อัตราที่ 5) ประจำปี 2566 จำนวน 1 อัตรา

< >
วันที่เผยแพร่: 
23 ธันวาคม 2565
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เกาะติดสถานการณ์ล่าสุดเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “เรือหลวงสุโขทัย”ล่ม

< >
วันที่เผยแพร่: 
22 ธันวาคม 2565

คปภ. เกาะติดสถานการณ์ล่าสุดเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “เรือหลวงสุโขทัย”ล่ม

เผยข้อมูลด้านประกันภัยล่าสุด..! ผู้สูญหาย 23 ราย มีการทำประกันภัย 13 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 6 ราย มีประกันภัย 3 ราย ทำไว้กับ 14 บริษัท รวมค่าสินไหมทดแทน กว่า 27 ล้านบาท 
 
กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ประสบเหตุน้ำเข้าเรือเนื่องจากคลื่นลมแรง ขณะทำการลาดตระเวนอยู่บริเวณแบริ่ง 090 ระยะ 20 ไมล์ จากท่าเรืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้มีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือจนเครื่องไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงาน เป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ 
จนทำให้เรือเอียงและอับปางลงใต้ทะเล ส่งผลทำให้มีผู้ประสบเหตุในครั้งนี้จำนวน 105 ราย โดยได้รับการช่วยเหลือแล้ว 76 ราย สูญหายอยู่ระหว่างการค้นหาเพื่อช่วยเหลือจำนวน 23 ราย และเสียชีวิต 6 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 โดยสำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการร่วมกับศูนย์ประสานงานช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ณ กองเรือยุทธการ อำเภอสัต**บ จังหวัดชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ให้คำแนะนำแก่ผู้ประสบภัยและญาติของผู้ประสบภัย รวมทั้งประสานบริษัทประกันภัยเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที และได้มีการรายงานการช่วยเหลือด้านการประกันภัยไปแล้วนั้น
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการช่วยเหลือด้านประกันภัยพบว่าในจำนวนผู้สูญหาย 23 ราย มีการทำประกันภัย 13 ราย และในจำนวนผู้เสียชีวิต 6 ราย มีการทำประกันภัย 3 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 27,285,444 บาท โดยทำประกันภัยไว้กับ 14 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอเอ จำกัด นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยในครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ 
หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ
 
“สำนักงาน คปภ. ได้เร่งระดมสรรพกำลังบุคลากรของสำนักงาน คปภ. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายเป็นจำนวนมาก สำนักงาน คปภ. ยังคงเร่งติดตามตรวจสอบการประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด และจะดำเนินการอย่างเต็มที่และสุดความสามารถเพื่อให้ผู้ประสบเหตุและครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับการช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าในการช่วยเหลือด้านประกันภัยเพิ่มเติมจะได้แจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
...............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ.ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยเร่งด่วน กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ล่มกลางทะเล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
21 ธันวาคม 2565
คปภ.ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยเร่งด่วน กรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ล่มกลางทะเล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 2 ราย ในจำนวน 6 ราย และผู้สูญหาย 10 ราย ในจำนวน 23 ราย ทำประกันภัย 7 บริษัท รวมค่าสินไหมทดแทน กว่า 10 ล้านบาท 
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณี “เรือหลวงสุโขทัย” ประสบเหตุน้ำเข้าเรือเนื่องจากคลื่นลมแรง ขณะทำการลาดตระเวนอยู่บริเวณแบริ่ง 090 ระยะ 20 ไมล์ จากท่าเรืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้มีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือจนเครื่องไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงาน เป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ 
จนทำให้เรือเอียงและอับปางลงใต้ทะเล ส่งผลทำให้มีผู้ประสบเหตุในครั้งนี้จำนวน 105 ราย โดยได้รับการช่วยเหลือแล้ว 76 ราย สูญหายอยู่ระหว่างการค้นหาเพื่อช่วยเหลือจำนวน 23 ราย และเสียชีวิต 6 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 นั้น ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) สำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรี และ สำนักงาน คปภ. จังหวัดระยอง ลงพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือด้านประกันภัย “ทันที” เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งศูนย์ให้การช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ณ กองเรือยุทธการ อำเภอสัต**บ จังหวัดชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่สำนักงาน คปภ. ได้อำนวยความสะดวกตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัย ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ให้คำแนะนำแก่ผู้ประสบภัยและญาติของผู้ประสบภัย รวมทั้งประสานบริษัทประกันภัยเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที
 
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นพบว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 6 ราย มีการทำประกันภัยไว้ จำนวน 2 ราย และในจำนวนผู้สูญหาย 23 ราย มีการทำประกันภัยไว้ จำนวน 10 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 10,321,592 บาท โดยทำประกันภัยไว้กับ 7 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอเอ จำกัด
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้ประสบภัยในครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ 
หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้ประสบภัยในครั้งนี้และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอาชีพ และกับทุกคน โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด จึงขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนควรตรวจความพร้อมของสภาพร่างกาย ตรวจความพร้อมของสภาพรถ ตรวจความพร้อมของประกันภัย พ.ร.บ. และประกันภัยภาคสมัครใจ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
...............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

หน้า

Subscribe to RSS - ข่าว