ข่าว

สำนักงาน คปภ. เตรียมความพร้อมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านประกันภัยอย่างเต็มพิกัด

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
25 มีนาคม 2566

 

 

สำนักงาน คปภ. เตรียมความพร้อมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านประกันภัยอย่างเต็มพิกัด

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน คปภ. ได้รับมอบประกาศเกียรติคุณการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในงาน “PDPA Going Forward ก้าวไปข้างหน้ากับ PDPA” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ร่วมกับ สมาคมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไทย (DPOA) ณ โรงแรมอัศวิน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นั้น ที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. ได้เน้นย้ำความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้มีการบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจการเงิน ทั้ง ธปท. และ ก.ล.ต. ตามที่ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาคธุรกิจการเงิน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ในการกำหนดนโยบาย และกรอบการกำกับดูแลด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาคธุรกิจการเงินให้มีความสอดคล้องและมีกระบวนการในการกำกับดูแลที่สอดรับกัน รวมถึงให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดระหว่างกัน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในภาคธุรกิจการเงินและให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาคธุรกิจการเงินเป็นไปอย่างราบรื่น และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่มีการดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ เพื่อใช้ในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย การพิจารณารับประกันภัย รวมถึงการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และในส่วนของสำนักงาน คปภ. ได้มีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดำเนินการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ตลอดระยะเวลาที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงาน คปภ. รวมถึงได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาคธุรกิจประกันภัยในการจัดทำแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ กล่าวคือ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. 2564 ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง แนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสำหรับธุรกิจประกันชีวิต พ.ศ. 2564 ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง แนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสำหรับธุรกิจประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง แนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัยสำหรับการตรวจสอบและประเมินวินาศภัย พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แนวนโยบายและแนวปฏิบัติที่ใช้ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงแนวทางปฏิบัติและเอกสารทางกฎหมายที่สนับสนุนการปฏิบัติตามข้อกำหนด สำนักงาน คปภ. จึงได้มีการจัดอบรมให้กับภาคธุรกิจประกันภัยและบุคลากรของสำนักงาน คปภ. ตามโครงการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในมิติของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนของการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ก็ได้มีการตระหนักถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่สำนักงาน คปภ. ได้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย อย่างรอบด้าน และได้จัดทำแบบฟอร์มเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ ภายในของสำนักงาน คปภ. เพื่อให้การดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. สอดคล้องกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วย 

 

ธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่มีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประกอบการดำเนินธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้สนับสนุนการพิจารณารับประกันภัย การปฏิบัติตามสัญญาประกันภัย และการให้บริการลูกค้า สำนักงาน คปภ. จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการการได้มาและการปกป้องข้อมูลของลูกค้าทั้งข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปและข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของธุรกิจประกันภัย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมความพร้อมสำหรับภาคธุรกิจประกันภัยเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในหลายมิติและจะบูรณาการความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจการเงิน ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับธุรกรรมประกันภัยจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. สั่งเชือด “นายหน้าประกันภัย” กรณีหลอกขายประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ จ่าย จบ

< >
วันที่เผยแพร่: 
23 มีนาคม 2566

เลขาธิการ คปภ. สั่งเชือด “นายหน้าประกันภัย” กรณีหลอกขายประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ จ่าย จบ 

 

จากกรณี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ชุดปฏิบัติการ 5 เข้าจับกุม นายหน้าประกันวินาศภัยรายหนึ่ง โดยถูกจับกุมตัวได้ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ตามหมายจับศาลแขวงชลบุรี ที่ 292/2565 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ในความผิดฐานฉ้อโกง กระทำการโดยเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง และกระทำการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งในเบื้องต้นนายหน้าประกันวินาศภัยรายดังกล่าว ได้ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี ว่าได้กระทำความผิดจริง ด้วยการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ จ่าย จบ ให้แก่ผู้เอาประกันภัยผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก แต่ไม่ดำเนินการให้มีการทำสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน ซึ่งการกระทำของบุคคลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการนำระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงาน คปภ. ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของผู้ถูกจับกุม พบว่า มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตและใบอนุญาตยังไม่หมดอายุ จึงได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี สำนักงาน คปภ. ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายหน้าประกันภัยรายนี้ ได้ยอมรับกับพนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักงาน คปภ. ว่าได้รับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยและไม่ได้นำส่งให้บริษัทประกันภัยจริง ประกอบกับได้รับสารภาพกับเจ้าพนักงานตำรวจตามบันทึกการจับกุมของสถานีตำรวจภูธรดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี ลงวันที่ 8 มีนาคม 2566 แล้ว ดังนี้ การกระทำดังกล่าวของนายหน้าประกันภัยรายนี้ จึงเป็นการดำเนินงานที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือประชาชน อันอาจเป็นความผิดตามมาตรา 76/1 (6) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 นายทะเบียนจึงได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตแล้ว ทั้งนี้ผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตรายดังกล่าวจะไม่สามารถกระทำการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยหรือขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สำหรับความผิดที่เข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) .. 2562 ที่ระบุว่า ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการให้ผู้อื่นนั้นทำสัญญาประกันภัยกับบริษัท แต่ไม่ดำเนินการให้มีการทำสัญญาประกันภัยเกิดขึ้น และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างประสานพนักงานสอบสวนเพื่อขอเอกสารหลักฐานเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยกับประชาชน จะไม่นิ่งเฉยต่อบุคคลใด ที่สร้างความเสียหายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบประกันภัยไทย โดยสำนักงาน คปภ. จะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดในทุกมิติ นอกจากนี้หากมีตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยมาเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ขอให้ประชาชนตรวจสอบใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยได้ที่ www.oic.or.th และหากมีการชำระเบี้ยประกันภัยจะต้องได้รับเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้ง ทั้งนี้ หากพบเห็นพฤติกรรมการหลอกลวงด้านประกันภัยให้รีบแจ้งข้อมูลไปยังสำนักงาน คปภ. โดยตรงผ่านสายด่วน คปภ. 1186 

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เปิดเกมรุกใหม่นำระบบประกันภัยให้ความคุ้มครองในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผนึกพลัง “สกพอ.-หอการค้าไทย-สภาอุตสาหกรรม” ลงนาม MoU เติมเต็มองค์ความรู้ ด้านประกันภัยแบบครบวงจร

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
18 มีนาคม 2566

คปภ. เปิดเกมรุกใหม่นำระบบประกันภัยให้ความคุ้มครองในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผนึกพลัง “สกพอ.-หอการค้าไทย-สภาอุตสาหกรรม” ลงนาม MoU เติมเต็มองค์ความรู้ ด้านประกันภัยแบบครบวงจร

 

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปฏิบัติการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายปรัชญา สมะลาภา รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก หอการค้าไทย ดร.สาโรจน์ วสุวานิช ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เรื่องการบูรณาการองค์ความรู้และการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านประกันภัยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระหว่าง 4 หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก โดยได้รับเกียรติจาก นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี คณะผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 4 หน่วยงาน นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสุนทร ธัญญวัฒนกุล ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ประธานหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ EEC (ชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา) ผู้บริหารภาครัฐและเอกชน รวมถึงสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ศูนย์ปฏิบัติการโรงแรมเทาทอง มหาวิทยาลัยบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ระหว่าง 4 หน่วยงาน ในครั้งนี้เกิดจากสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวกับนโยบาย EEC ไปก่อนหน้านี้ อาทิ 

การจัดทำโครงการประเมินโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมประกันภัยจากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง Pilot Project เพื่อศึกษาโอกาสที่ธุรกิจประกันภัยไทยจะเข้าไปรองรับความต้องการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกการทำประกันภัยของกลุ่มธุรกิจและผู้บริโภค รวมทั้งได้มีการจัดอบรมสัมมนาเรื่อง โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับโอกาสของธุรกิจประกันภัย เพื่อเตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในการให้บริการ สร้าง Value Proposition และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มธุรกิจและประชาชน ตลอดจนการตั้งศูนย์ EEC สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (InsurEEC) โดยศูนย์ดังกล่าวมีคณะทำงานบูรณาการด้านประกันภัย ซึ่งได้เข้าร่วมประชุมสภาอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ EEC ในฐานะที่ปรึกษาเพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมิติด้านประกันภัยและนำเสนอรูปแบบการประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงของการประกอบธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่ EEC ผ่านการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระด้านการเงิน พร้อมทั้งสร้างความยั่งยืนให้ผู้ประกอบการและสภาพแวดล้อมรอบข้างโดยให้ระบบประกันภัยเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ EEC ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต 

 

ทั้งนี้ จากการที่สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำ Pilot Project โครงการประเมินโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมประกันภัยจากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อศึกษาโอกาสที่ธุรกิจประกันภัยไทยจะเข้าไปรองรับความต้องการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกการทำประกันภัยของกลุ่มธุรกิจและผู้บริโภค พบว่า ผลประมาณการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (ปี 2563-2580) ที่มีการลงทุนของภาครัฐ และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้ภาคธุรกิจประกันภัยเติบโตมากขึ้น โดยจะมีการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งภาคสาธารณะ อาทิ โครงข่ายระบบราง ท่าเรือ รวมถึงภาคเอกชน เช่น อาคารสำนักงาน โรงงาน เป็นต้น และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ อาทิ การซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังทำให้เกิดการจ้างงานจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปสงค์ต่อการประกันวินาศภัยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ นโยบาย EEC ยังมีผลทางอ้อมที่ทำให้เศรษฐกิจพัฒนาและเติบโตมากขึ้น และประชากรมีระดับรายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อุปสงค์ของทั้งการประกันชีวิตและประกันวินาศภัยเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.5 ต่อปี และมีมูลค่า 2.0 ล้านล้านบาท ในปี 2580 โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์การประกันวินาศภัยจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10.4 ต่อปี และการประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโตเป็นร้อยละ 4.3 ต่อปี โดยคาดการณ์ความต้องการของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย ได้แก่ การประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดและการประกันภัยทรัพย์สิน ร้อยละ 15.5 ต่อปี และการประกันภัยอุบัติเหตุ ร้อยละ 12.9 ต่อปี การประกันอัคคีภัย ร้อยละ 4.8 ต่อปี การประกันภัยรถยนต์ ร้อยละ 4.7 ต่อปี การประกันภัยสุขภาพร้อยละ 3.4 ต่อปี และการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 3.1 ต่อปี ส่วนความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัยของอุตสาหกรรม S-Curve ที่มีเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและขนส่ง และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อาทิ กลุ่ม Digital Group มีความต้องการความคุ้มครองใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ความบกพร่องของ AI, Cyber Attack และความเสียหายจากผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับ Automation & Robotics เป็นต้น กลุ่ม BIO Group มีความต้องการความคุ้มครองใหม่ ๆ อาทิ ความเสียหายหรือแพ้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ความผิดพลาดจากการปนเปื้อน ผลเสียของการใช้สารเคมีที่มีอันตราย และความเสียหายจากห้องแล็บ Clinical Trial  กลุ่ม Tourism & Wellness Group มีความต้องการความคุ้มครองใหม่ ๆ อาทิ การคุ้มครองการเดินทางเพื่อพักผ่อนแบบ luxurious ความผิดพลาดจากการรักษา ความผิดพลาดของภัตตาคารและผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ความผิดพลาดจากการใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการแพทย์ ความคุ้มครองความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนใหม่ และความคุ้มครองจากการดำเนินงาน เป็นต้น ในขณะเดียวกันความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัยของผู้บริโภค ภายหลังจากมีโครงการ EEC มีความต้องการทำประกันภัยสุขภาพเพิ่มขึ้น ตามด้วยการประกันภัยรถยนต์ การประกันภัยอุบัติเหตุ การประกันอัคคีภัยบ้าน และการประกันชีวิต   ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อต่อยอดโครงการและกิจกรรมที่ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยพิธีลงนามดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของความร่วมมือเชิง Collaboration โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประสานความร่วมมือและจัดให้มีกลไกที่ทั้ง 4 หน่วยงานจะสามารถปฏิบัติร่วมกันได้ในการเสริมสร้างองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลและนโยบาย รวมถึงประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการความเสี่ยง ด้วยระบบประกันภัยอย่างยั่งยืน 

 

 

สำหรับกรอบแนวทางความร่วมมือที่ทั้ง 4 หน่วยงาน จะขับเคลื่อนร่วมกันมี 4 ด้านหลัก ๆ คือ ด้านแรก เกี่ยวกับงานวิชาการ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลทางวิชาการ ด้านที่ 2 เป็นการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ด้านที่ 3 การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านประกันภัยและด้านที่เกี่ยวข้องผ่านสื่อต่าง ๆ และด้านที่ 4 เป็นการจัดกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม รวมถึงประชาชนในเขตพื้นที่ EEC เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อบรรเทาความสูญเสียหรือความเสียหาย ซึ่งจะช่วยให้การประกอบธุรกิจสามารถดำเนินการไปด้วยความราบรื่น และช่วยเสริมศักยภาพรวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 (พ.ศ.2564-2568) โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ให้ระบบประกันภัยมีบทบาทในการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวทางการผลักดันให้นำประกันภัยไปใช้ในการบริหารความเสี่ยงของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่อยู่ในพื้นที่ EEC โดยสำนักงาน คปภ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยให้สามารถลงทุนในหน่วยลงทุนที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน โดยขยายสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนดังกล่าวจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30 ของสินทรัพย์ลงทุน เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอีกด้วย

การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงานในครั้งนี้ทำให้เกิดการ Collaboration ที่เป็นรูปธรรมอย่างครบวงจร ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันให้ระบบประกันภัยเข้ามามีส่วนในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนได้แบบยั่งยืนอย่างแท้จริงเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

“สำนักงาน คปภ. – กรมการปกครอง” บูรณาการทำงานเชิงรุกร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนทำประกันภัย พ.ร.บ. ทั่วประเทศ

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
17 มีนาคม 2566

“สำนักงาน คปภ. – กรมการปกครอง” บูรณาการทำงานเชิงรุกร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนทำประกันภัย พ.ร.บ. ทั่วประเทศ

 

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU)ว่าด้วยการบูรณาการส่งเสริมความรู้การประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระหว่างกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีคณะผู้บริหารของทั้งสองหน่วยงานและสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างสำนักงาน คปภ. และ กรมการปกครอง ในครั้งนี้ มีความประสงค์หลัก ๆ คือ การประสานความร่วมมือเพื่อรณรงค์และให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ในการส่งเสริมการจัดทำประกันภัย และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. และการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล และแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้กลไกของหน่วยงานระดับพื้นที่ในส่วนภูมิภาค ร่วมกันขับเคลื่อนและรณรงค์ให้ประชาชนเจ้าของรถตระหนักถึงความสำคัญ ในการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และรับรู้ถึงหน้าที่และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างทั่วถึงและมีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำระบบประกันภัยเข้าไป เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติข้อมูลรถจดทะเบียนสะสมของกรมการขนส่งทางบก และข้อมูลการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ที่มีผลใช้บังคับ ในปี 2565 พบว่า การจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถยนต์ มีสัดส่วนร้อยละ 90 ส่วนการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับรถจักรยานยนต์ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 64 ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่ต่ำ ดังนั้นเมื่อมีประชาชนไม่จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. เป็นจำนวนมาก ย่อมส่งผลให้ประชาชนเสียสิทธิประโยชน์ในการได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ด้วยเช่นกัน โดยผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้ทำประกันภัย พ.ร.บ. ก็จะมาขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. ที่มีภารกิจในการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งปัจจุบันกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยมีแนวโน้มการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2565 กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถเป็นจำนวน 8,024 ราย รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 157 ล้านบาท 

 

นอกจากนี้ ในการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย พบว่า จะมีการเรียกร้องจากกรณี รถไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. กว่าร้อยละ 80 ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการบูรณาการร่วมกับกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ในครั้งนี้  ซึ่งกรมการปกครองมีบุคลากรเป็นจำนวนมากที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ รวมถึงให้การสนับสนุน ส่งเสริม อำนวยความสะดวก และอบรมชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจถึงสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่มีส่วนช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนได้รับความคุ้มครองและมีความปลอดภัย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงาน คปภ. โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัย พ.ร.บ. ให้แก่ประชาชนอย่างถูกต้อง ครบถ้วนและทั่วถึง

 

ด้าน นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นความร่วมมือและการบูรณาการระหว่างกรมการปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยที่ผ่านมากรมการปกครองตระหนักและให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุจาการใช้รถใช้ถนนของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสอดรับกับภารกิจของกรมการปกครองในการประสานความร่วมมือกับ สำนักงาน คปภ. เพื่อให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยงข้อมูลงานด้านทะเบียนราษฎร และใช้กลไกหน่วยงานปกครองในระดับพื้นที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน เป็นต้น ในการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. และให้บุคลากรของหน่วยงานปกครองในระดับพื้นที่เข้ารับการอบรมเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. ตลอดจนมีการสำรวจการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ของรถในพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเจ้าของรถทุกคันตระหนักถึงความสำคัญในการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และรับรู้ถึงหน้าที่และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. อย่างทั่วถึง รวมถึงรณรงค์เพื่อให้ประชาชนมีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายเมื่อมีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำประกันภัย พ.ร.บ. มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน โดยจะได้รับความคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย อันเนื่องมาจากการประสบภัยจากรถ โดยผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเพื่อเยียวยาความเสียหายอย่างทันท่วงทีและไม่ต้องรอการพิสูจน์ความรับผิด รวมถึงค่าสินไหมทดแทนนอกเหนือจากค่าเสียหายเบื้องต้น สำหรับผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย  โดยความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. จะแบ่งเป็น 2 ส่วน หลัก ๆ คือ ส่วนแรก ค่าเสียหายเบื้องต้น เป็นการจ่ายโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด โดยจ่ายให้กับผู้ประสบภัยจากรถทุกคน ซึ่งจ่ายภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน โดยจ่ายเป็น ค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง รายละไม่เกิน 30,000 บาท ค่าปลงศพหรือค่าชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ รายละ 35,000 บาท  รวมทั้ง กรณีที่ได้รับบาดเจ็บและต่อมาเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะจะได้รับสูงสุดไม่เกินรายละ 65,000 บาท ส่วนที่ 2 ค่าสินไหมทดแทน (ค่าเสียหายส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น) จ่ายให้ผู้ประสบภัยจากรถที่ไม่ได้เป็น      ฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์ความรับผิดแล้ว โดยจ่ายกรณีบาดเจ็บจะได้รับความคุ้มครองสูงสุดตามกรมธรรม์ฯ ไม่เกิน 80,000 บาท (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. ตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท แล้วแต่กรณี (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 500,000 บาท (รวมค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว) และหากเข้ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จะได้รับค่าชดเชยรายวันอีกวันละ 200 บาทไม่เกิน 20 วันอีกด้วย

 

  การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สำนักงาน คปภ. กับ กรมการปกครอง ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่งในการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการเสริมสร้างความรู้และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ... ของประชาชนเจ้าของรถในทุกภูมิภาคทั่วประเทศเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. เปิดตัวโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ “ประกันภัยโรคมะเร็งท่อน้ำดี” ณ จังหวัดนครพนม

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
16 มีนาคม 2566

เลขาธิการ คปภ. เปิดตัวโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ “ประกันภัยโรคมะเร็งท่อน้ำดี” ณ จังหวัดนครพนม พร้อมนำทีม Mobile Insurance Unit ลงพื้นที่เรณูนคร เรียนรู้วิถีชีวิต   ชาวชุมชนภูไท ถอดบทเรียนประกันภัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลด้านประกันภัยแก่ชุมชน

 

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดเวทีเสวนาตามโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ ในหัวข้อ “ปรับเปลี่ยนวิถี ไม่กินปลาดิบ วางแผนชีวิต 

ด้วยประกันภัยโรคมะเร็งท่อน้ำดี” โดยมีนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานเครือข่ายที่ให้ความรู้ ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถพล ติตะปัญ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศมะเร็งท่อน้ำดี โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และกรรมการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี (CARI) นางสาวดาเนตร วันทนีย์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานกำกับผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย สำนักงาน คปภ. นายไพบูลย์  ทรงแสงฤทธิ์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดี และนายแพทย์สมบัติ แทนประเสริฐสุข ที่ปรึกษาแผนกสินไหมสุขภาพบริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งมีการกิจกรรมจัดบูธประชาสัมพันธ์และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. กองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย โรงพยาบาลนครพนม มูลนิธิมะเร็งท่อน้ำดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หน่วยงานเครือข่าย และ OTOP จำนวน 24 แห่ง ตลอดจนการจัดกิจกรรมตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับโดยสถาบันวิจัยโรคมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน “ฟรี” โดยมีกลุ่มเป้าหมายทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มเกษตรกร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 150 คน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ณ ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว นครพนม จังหวัดนครพนม   เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า  สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย 

 

โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภท Tailor-made ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะรายในราคาที่เหมาะสม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่จำเป็นในการรองรับความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ 

เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ ได้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ 

โดยมุ่งเน้นที่จะพัฒนาและส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่รองรับลักษณะการใช้ชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กับประชาชนได้เข้าถึงระบบประกันภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

แก่ประชาชนและสามารถนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงในชีวิตได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน โดยสำนักงาน คปภ.ภาค 3 (ขอนแก่น) ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแลพื้นที่ภาคอีสาน จำนวน 11 จังหวัด ได้สำรวจข้อมูลในพื้นที่พบว่า ประชากรในเขตภาคอีสาน มักมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารในกลุ่มปลาน้ำจืดแบบมีเกล็ด โดยวิธีการปรุงแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาหมกไฟ ปลาร้า ที่เป็นกลุ่มปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาขาว ทำให้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และหลังจากติดเชื้อประมาณ 20-30 ปี ก็จะป่วยเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดีและเสียชีวิตภายใน 1 ปี ประกอบกับข้อมูลของสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี พบว่า ประชากรในภาคอีสานมีสถิติป่วย เป็นโรคนี้สูงที่สุดในประเทศไทยและสูงที่สุดในโลก โดยคาดการณ์ว่ามีผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับประมาณ 6 ล้านคน และในจำนวนนี้พัฒนาเป็นมะเร็งท่อน้ำดีประมาณปีละ 10,000 - 20,000 ราย โดยผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีอยู่อายุระหว่าง 40-60 ปี นับเป็นการสูญเสียชีวิตในช่วงวัยแรงงาน ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาประเทศตามมา 

 

ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแบบ “กรมธรรม์ประกันภัยมะเร็งท่อน้ำดี” เพื่อนำระบบประกันภัยเข้าไปรองรับความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือหรือทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต โดยเฉพาะการประกันภัยสุขภาพที่สามารถรองรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น หรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรคที่เกิดจากวิถีการใช้ชีวิตหรือวัฒนธรรมการบริโภคของประชาชน ทั้งนี้กรมธรรม์ประกันภัยมะเร็งท่อน้ำดี ให้ความคุ้มครองผู้ทำประกันภัยที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยครั้งแรกว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดี โดยมีหลักฐานรายงานการตรวจวินิจฉัย X-RAY ช่องท้องด้วยคอมพิวเตอร์ (CT SCAN) หรือ รายงานการตรวจวินิจฉัยช่องท่องด้วยเครื่องแม่เหล็ก (MRI หรือ MRCT) บริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินผลประโยชน์ให้กับผู้เอาประกันภัย ขึ้นอยู่กับวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้ อัตราเบี้ยประกันภัยที่ไม่แพง โดยจะแบ่งตามช่วงอายุผู้ทำประกันภัย จากนั้นในวันที่ 14 มีนาคม 2566 เลขาธิการ คปภ. ได้นำคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. ผู้แทนสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย กองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ลงพื้นที่ชุมชนภูไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม โดยมี นายปณิธิ  ป้องสนาม ปลัดอาวุโส อำเภอเรณูนคร และนางรัตนาภรณ์  คงพราหมณ์ นายกเทศมนตรีตำบลเรณูนคร ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ตามโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 6 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้กับประชาชนในชุมชน ในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ให้ความช่วยเหลือ และรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ รวมถึงการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ประกันภัยน่ารู้ สู่ชุมชน” พร้อมถ่ายทำรายการ “คปภ. เพื่อชุมชน” เพื่อเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 และสื่อออนไลน์ 

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ได้เคาะประตูบ้านประชาชนเพื่อเยี่ยมและพูดคุยกับชาวชุมชน รวมทั้งรับฟังสภาพปัญหา และความต้องการด้านประกันภัย เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงของชาวชุมชน กรณีประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำที่จังหวัดขอนแก่น เป็นเหตุให้เสียชีวิต ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ให้การช่วยเหลือในการอำนวยความสะดวกและประสานงานบริษัทประกันภัย จนเป็นผลให้ทายาทของชาวชุมชนรายนี้ได้รับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม และต่อมาภายหลังสำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วย ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการเรียบร้อยแล้ว

 

“การลงพื้นที่ชุมชนของสำนักงาน คปภ. ครั้งนี้เป็นการบูรณาการโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย กับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน  เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้ตรงกับความต้องการและสามารถนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. พลิกประวัติศาสตร์การเรียนรู้ด้านการประกันภัยโฉมใหม่ผ่านการประกวดบอร์ดเกมภายใต้แนวคิด “ประกันภัยสุขภาพ”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
10 มีนาคม 2566

คปภ. พลิกประวัติศาสตร์การเรียนรู้ด้านการประกันภัยโฉมใหม่ผ่านการประกวดบอร์ดเกมภายใต้แนวคิด “ประกันภัยสุขภาพ”

 
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานแถลงข่าว “การประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยปีที่ 2” 
OIC BoardGame Innovation ภายใต้แนวคิด “การประกันภัยสุขภาพ : Health Insurance” ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารสถาบันวิทยาการระดับสูง สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมี คุณพีรัช  ษรานุรักษ์ ผู้แทนจากสมาคมบอร์ดเกมแห่งประเทศไทย และคุณภัคพงศ์  ศรีเจริญ และคุณธนกฤต  สวนสัน ตัวแทนทีมผู้ชนะการประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยปีที่ 1 ร่วมพูดคุยเพื่อเปิดมุมมองเกี่ยวกับการผสมผสานองค์ความรู้ด้านการประกันภัยสุขภาพกับรูปแบบกระบวนการสร้างการเรียนรู้ในรูปแบบบอร์ดเกม
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงการประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยปีที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ใช่การประกวดบอร์ดเกมที่มุ่งเน้นเพียงความสนุกสนาน หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ เท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาสื่อที่สอดรับกับรูปแบบการเรียนรู้ของกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้ผู้คนในสังคมมีส่วนร่วมในการออกแบบสื่อด้านการประกันภัยในรูปแบบใหม่ และเป็นการยกระดับการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยให้สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง รวมทั้งสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจัดการประกวดในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2  โดยครั้งแรก (ปี 2564) สำนักงาน คปภ. จัดการประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัย (OIC Board Game Innovation) ภายใต้ แนวคิด “ความรู้ ความเข้าใจด้านการประกันภัย” (Insurance Literacy) ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในส่วนของเกมส์ออนไลน์ ทางสำนักงาน คปภ. โดยศูนย์ Center of InsurTech, Thailand หรือ ศูนย์ CIT ก็ได้มีการจัดทำ Application Online Social Game “OIC Risk Protector” ขึ้นมาในปีที่ผ่านมาเพื่อเป็นสื่อเรียนรู้ด้านการประกันภัยสำหรับเยาวชน จึงกล่าวได้ว่า สำนักงาน คปภ. มีการดำเนินการที่ครอบคลุมทั้งเกมออนไลน์ และโลกของเกมออฟไลน์อย่างบอร์ดเกม
 
สำหรับการประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยปีที่ 2 มีไฮไลต์อยู่ที่การนำ “ประกันภัยสุขภาพ : Health Insurance” มาตั้งเป็นโจทย์เพื่อออกแบบบอร์ดเกม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society ทำให้ประชาชนให้ความสนใจในการทำประกันภัยสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับการประกันภัยสุขภาพมีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด และคาดว่าการประกันภัยสุขภาพจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงในอนาคต ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงเห็นว่า หากพัฒนาบอร์ดเกมจากการตั้งโจทย์ประกันภัยสุขภาพจะช่วยเติมเต็มในการสร้างความตระหนักรู้ ความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยสุขภาพให้แก่ประชาชนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการเงินและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกันภัยสุขภาพ ในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม การประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยปีที่ 2 มีความพิเศษแตกต่างจากการประกวดฯ
ในปีแรกอยู่ 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ ประเด็นแรก การประกวดครั้งนี้ไม่ใช่เพียงมุ่งหาผู้ชนะ แต่ต้องการที่จะเสริมสร้างทักษะและพัฒนาเครือข่ายนักสื่อสารประกันภัยซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่สมัครเข้าร่วมประกวด โดยสำนักงาน คปภ. จะมีการจัดอบรม 1 วัน เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยสุขภาพและบอร์ดเกม เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งผลงานเข้าประกวด และหลังจากนั้นในรอบ 20 ทีม และรอบชิงชนะเลิศ ก็จะมีการเติมความรู้อีกไม่น้อยกว่า 14 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นการประกวดบอร์ดเกมที่มีการเสริมทักษะความรู้มากที่สุดก็ว่าได้ 
 
ประเด็นที่ 2 ปีนี้ผู้เข้าร่วมประกวดต้องออกแบบบอร์ดเกมให้สามารถดัดแปลงเผยแพร่ได้ 3 รูปแบบ คือ 
แบบกล่องสำเร็จ แบบออนไลน์ และแบบ Print and Play เพื่อเผยแพร่ผลงานในครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการมากที่สุด
 
และประเด็นที่ 3 ปีนี้มีการแบ่งการประกวดออกเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นมือใหม่ หรือรุ่น Rookie ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือประชาชนทั่วไป ที่ยังไม่มีประสบการณ์ แต่สนใจอยากเริ่มต้นเรียนรู้ ดังนั้นโจทย์ที่มอบให้ คือ 
การออกแบบบอร์ดเกมสำหรับใช้ในห้องเรียน ส่วนรุ่นผู้เชี่ยวชาญ หรือรุ่น Pro ที่มีประสบการณ์นั้นจะเป็นการเปิดกว้างให้แสดงฝีมือความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่
 
สำหรับรางวัลผู้ชนะการประกวดในกิจกรรมครั้งนี้จะได้รับทั้งโล่รางวัล ประกาศนียบัตรและเงินรางวัล โดยผู้ชนะเลิศในรุ่นผู้เชี่ยวชาญ หรือ รุ่น Pro ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัลชมเชยจำนวน 2 อันดับได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท และเกียรติบัตร
 
ส่วนผู้ชนะเลิศ รุ่น Rookie หรือ รุ่นมือใหม่ ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 25,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร รางวัลชมเชยจำนวน 2 อันดับ ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 5,000 บาท และเกียรติบัตร ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งผลงานรอบคัดเลือกผ่านทางเว็บไซต์ สำนักงาน คปภ. www.oic.or.th หรือ Facebook สำนักงาน คปภ. www.facebook.com/PROIC 2012 และ facebook OIC Board Game Innovation : www.facebook.com/OIC.BoardGame ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม - 2 เมษายน 2566 โดยจะประกาศผลทีมที่เข้ารอบ 20 ทีม ในวันที่ 5 เมษายน 2566 และจะมีการคัดเลือกให้เหลือ 10 ทีม ซึ่งทั้ง 10 ทีมที่เข้ารอบจะเข้าร่วมกิจกรรม workshop online ด้านการออกแบบบอร์ดเกม จำนวน 6 ครั้ง ระหว่างวันที่ 8-24 เมษายน 2566 เพื่อพัฒนาผลงานต้นแบบกับผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัยและด้านการออกแบบบอร์ดเกมชั้นนำและวันที่ 25 เมษายน 2566 เป็นการนำเสนอผลงาน ต่อมาในวันที่ 27 เมษายน 2566 ประกาศรายชื่อ 10 ทีม และทั้ง 10 ทีม จะมีการอมรมเติมความรู้และปรึกษา mentor จำนวน 8 ครั้ง ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 30 พฤษภาคม 2566 โดยกำหนดส่งผลงาน prototype ที่เสร็จเรียบร้อย ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ต่อจากนั้นจะเป็นการนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการตัดสินในรอบชิงชนะเลิศพร้อมประกาศผลและมอบรางวัล ในวันที่ 6 มิถุนายน 2566 
 
“ผมขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ สมัครและส่งผลงานได้ทั้งในนามบุคคลหรือเป็นทีม ๆ ละไม่เกิน 3 คนต่อผลงาน 1 ชิ้น ซึ่งปีนี้เปิดโอกาสให้ถึง 2 รุ่นด้วยกันคือรุ่นมือใหม่และรุ่นผู้เชี่ยวชาญ โดยนำเสนอแนวคิดการสื่อสารเนื้อหาด้านการประกันภัยสุขภาพ เป็นแกนหลักของเกม สอดแทรกด้วยความคิดการแก้ไขปัญหา และความสนุกสนาน โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่ (วันที่ 9 มีนาคม ถึง วันที่ 2 เมษายน 2566) โดยมีเงินรางวัลรวมกว่า 350,000 บาท และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประกวดนวัตกรรมบอร์ดเกมด้านการประกันภัยครั้งนี้ นอกจากจะมีความสนุกสนานแล้ว เป้าหมายสำคัญคือการสร้างนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้รูปแบบใหม่ของการประกันภัยแก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการวางรากฐานการสร้าง “Insurance Literacy” ให้กับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/OIC.BoardGame หรือ 088-004-3507 หรือ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ชนรถกระบะ” เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่จังหวัดพัทลุง

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
10 มีนาคม 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ชนรถกระบะ” เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่จังหวัดพัทลุง

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ทะเบียน 81-0532 ตรัง (ส่วนหัว) ทะเบียน 81-0533 ตรัง (ส่วนหาง) บรรทุกตอไม้ เกิดเหตุยางล้อหน้าด้านขวาแตกเสียหลักพุ่งข้ามฝั่งถนนมาชนรถยนต์กระบะ ทะเบียน บฉ 4330 พัทลุง บริเวณถนนสายเอเชีย ฝั่งขาขึ้น หมู่ 3 ตำบลหนองธง อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง เป็นเหตุให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์กระบะเสียชีวิต จำนวน 5 ราย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดพัทลุง ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดพัทลุง ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันที โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ทะเบียน 81-0532 ตรัง (ส่วนหัว) ทำประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 1 ไว้กับบริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 ตุลาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 13 ตุลาคม 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความรับผิดต่อทรัพย์สิน 600,000 บาทต่อครั้ง และความคุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัย 1,200,000 บาทต่อครั้ง และให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพของผู้ขับขี่จำนวน 100,000 บาท ผู้โดยสาร 100,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาล จำนวน 100,000 บาทต่อคน โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
 
สำหรับทะเบียน 81-0533 ตรัง (ส่วนหาง) ทำประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 1 ไว้กับบริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 ตุลาคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 13 ตุลาคม 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความรับผิดต่อทรัพย์สิน 600,000 บาทต่อครั้ง และความคุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัย 450,000 บาทต่อครั้ง โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
 
ด้านรถยนต์กระบะ ทะเบียน บฉ 4330 พัทลุง ได้ทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 26 มกราคม 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 18 มกราคม 2567 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
 
สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ฐานความผิดขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ทรัพย์สินเกิดความเสียหายและทำให้มีผู้เสียชีวิต ทายาทโดยธรรมของผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่เสียชีวิตในรถยนต์กระบะทั้ง 5 ราย จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 1,000,000 บาท จากการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 (ส่วนหัว) 500,000 บาท และจากการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 (ส่วนห่าง) 500,000 บาท โดยในวันที่ 9 มีนาคม 2566 สำนักงาน คปภ. จังหวัดพัทลุง ได้ประสานงานบริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งบริษัทตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตและได้มอบหมายให้พนักงานของบริษัทในพื้นที่ติดต่อทายาทผู้เสียชีวิตเพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว ในส่วนของบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับประกันภัยรถยนต์กระบะภาคบังคับ บริษัทตกลงจ่ายค่าปลงศพเบื้องต้น รายละ 35,000 บาท ภายหลังได้รับเอกสารของทายาทครบถ้วน โดยสำนักงาน คปภ. จะช่วยประสานงาน อำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถกระบะชนรถเก๋ง” เสียชีวิต 6 ราย ที่อุบลราชธานี แล้ว

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
28 กุมภาพันธ์ 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถกระบะชนรถเก๋ง” เสียชีวิต 6 ราย ที่อุบลราชธานี แล้ว

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน 3ฒต 6437 กรุงเทพมหานคร เฉี่ยวชนกับรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน กน 8528 อุบลราชธานี บริเวณสะพานห้วยตำแย ถนนเดชอุดม-แยกท่าโพธิ์ศรี บ้านแขมเจริญ ตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 5 (อุบลราชธานี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุบลราชธานี ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้ลงพื้นที่ในวันเกิดเหตุ โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 3ฒต 6437 กรุงเทพมหานคร ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 26 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดคุ้มครองวันที่ 26 ธันวาคม 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน
นอกจากนี้ รถยนต์กระบะคันดังกล่าว ทำประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 1 ไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 24 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 24 ธันวาคม 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 ต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความรับผิดต่อทรัพย์สิน 5,000,000 บาทต่อครั้ง และความคุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัย 360,000 บาทต่อครั้ง และให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพของผู้ขับขี่จำนวน 300,000 บาท ผู้โดยสาร 300,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาล จำนวน 300,000 บาทต่อคน
 
ด้านรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กน 8528 อุบลราชธานี ได้ทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 15 สิงหาคม 2566 และประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคสมัครใจ
 
สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องต้นในกรณีที่รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 3ฒต 6437 กรุงเทพมหานคร (เป็นฝ่ายผิด) ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะที่เสียชีวิตจะได้รับ
ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 335,000 บาท จากการทำประกันภัย พ.ร.บ. ในส่วนที่เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนจากความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ จำนวน 300,000 บาท ซึ่งในวันนี้ (วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566) บริษัท ธนชาตประกันภัยฯ ได้จ่ายส่วนของความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลตามเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ให้แก่ทายาท จำนวน 300,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชี เรียบร้อยแล้ว 
 
ในส่วนของรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กน 8528 อุบลราชธานี (ถ้าเป็นฝ่ายถูก) ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่เสียชีวิตในรถยนต์เก๋ง ทั้ง 5 ราย จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 1,000,000 บาท จากการทำประกันภัย พ.ร.บ. รายละ 500,000 บาท และจากการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภท 1 รายละ 500,000 บาท 
อย่างไรก็ตาม ผลของคดีการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบต่อไป โดยสำนักงาน คปภ. จะช่วยประสานงานและเร่งรัดให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และสำนักงาน คปภ. พร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน และเพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 
การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. เกาะติดสถานการณ์บริษัทสินมั่นคงประกันภัยฯ กรณีเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย

< >
วันที่เผยแพร่: 
28 กุมภาพันธ์ 2566

สำนักงาน คปภ. เกาะติดสถานการณ์บริษัทสินมั่นคงประกันภัยฯ 

กรณีเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย
 
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ต่อมาศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ ฟื้นฟูกิจการ และแต่งตั้งบริษัทฯ เป็นผู้ทำแผน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ส่งผลให้อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของบริษัทฯ และบรรดาสิทธิตามกฎหมายของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เว้นแต่สิทธิที่จะได้รับเงินปันผล ตกแก่บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ทำแผน โดยเจ้าหนี้ของบริษัทฯ สามารถยื่นขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการในคดีนี้ภายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเมื่อครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้วบริษัทฯ ต้องรวบรวมเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ และจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อเสนอต่อเจ้าหนี้และศาลฯ เพื่อพิจารณา
 
นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 สั่งให้บริษัทฯ แก้ไขฐานะและการดำเนินการหลายประการ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชน ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 เช่น ให้เพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันและให้มีอัตราส่วนของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 1 ปี และให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงิน สินทรัพย์สภาพคล่อง และภาระหนี้สินตามสัญญาประกันภัย ในหน้าเว็บไซต์ของบริษัทฯ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชน ทราบถึงสถานะของบริษัทฯ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงาน คปภ. เพื่อจะได้เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. รวมทั้งให้ขออนุญาตศาลล้มละลายกลางให้มีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทฯ ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือคำพิพากษาของศาล สำหรับประเภทสัญญาประกันภัยที่บริษัทฯดำเนินการค้าตามปกติ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้มีการติดตามการแก้ไขฐานะการเงินและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด ตลอดจนดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งกำชับให้บริษัทฯ ดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวให้ครบถ้วนและปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัยอย่างเคร่งครัด
 
ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลาย ซึ่งต้องมีการทำแผนการฟื้นฟูกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ ซึ่งในระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการ สำนักงาน คปภ. ได้กำชับและติดตามให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับการค้าตามปกติ และเร่งหาผู้ร่วมทุน พร้อมทั้งแนะนำให้บริษัทฯ มีการสื่อสารทำความเข้าใจกับเจ้าหนี้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ 
 
ประกอบกับเมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2566 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP (Trading Suspension) ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว และ NP (Notice Pending) ซึ่งเป็นเครื่องหมายกรณีบริษัทจดทะเบียนมีข้อมูลที่ต้องรายงาน และ ตลท. อยู่ระหว่างรอข้อมูลจากบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) “SMK”  โดย ตลท. ให้เหตุผลในการขึ้นเครื่องหมายดังกล่าวว่าส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินปี 2565 ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลในส่วนนี้จากเว็บไซต์ของ ตลท. (https://www.set.or.th)
 
 ทั้งนี้ ประชาชนควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนทำประกันภัย โดยสามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินของบริษัทฯ ได้ที่เว็บไซต์ของบริษัทฯ (https://www.smk.co.th/investor) เว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. (https://www.oic.or.th/th/consumer/sinmunkong) ส่วนเจ้าหนี้ของบริษัทฯ สามารถติดตามความคืบหน้าของคดีและรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th หากมีข้อสงสัยเรื่องประกันภัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th” 
 
..................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. นำทีม Mobile Insurance Unit ลงพื้นที่ชุมชนบ้านผาทั่ง จังหวัดอุทัยธานี ขับเคลื่อนประกันภัยพืชผลทางเกษตรเชิงรุก ประเดิมด้วย “ประกันภัยอ้อย” พร้อมให้ความรู้เรื่องประกันภัยแก่ชาวชุมชน

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
27 กุมภาพันธ์ 2566

เลขาธิการ คปภ. นำทีม Mobile Insurance Unit ลงพื้นที่ชุมชนบ้านผาทั่ง จังหวัดอุทัยธานี ขับเคลื่อนประกันภัยพืชผลทางเกษตรเชิงรุก ประเดิมด้วย “ประกันภัยอ้อย” พร้อมให้ความรู้เรื่องประกันภัยแก่ชาวชุมชน

 
         ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนาตามโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (กรมธรรม์ประกันภัยอ้อย) โดยมี นายปรัชญา เสริฐลือชา นายอำเภอบ้านไร่ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ผศ.ดร.ชญณา ศิริภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) นายสมิทธิ ว่องไพฑูรย์ ผู้บริหารบริษัท อุตสาหกรรม น้ำตาลบ้านไร่ จำกัด นายไพฑูรย์ ฟักเขียว ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลบ้านไร่ สมาคมชาวไร่อ้อยอำเภอบ้านไร่ และภาคเอกชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสัมมนา จำนวน 150 คน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ณ วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี 
 
โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย เป็นนโยบายสำคัญของสำนักงาน คปภ. ที่ดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้ประชาชนในทุกภูมิภาคสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริงสำหรับปีนี้ สำนักงาน คปภ. ภาค 2 (นครสวรรค์) ได้เสนอ “โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (กรมธรรม์ประกันภัยอ้อย) เนื่องจากจังหวัดอุทัยธานี เป็นจังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำเกษตรกรรมหลากหลายชนิด โดยมีพื้นที่สำหรับการปลูกอ้อย รวมมากกว่า 3 แสนไร่ มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตมากเป็นอันดับที่ 4 ของพื้นที่เขตภาคกลาง อีกทั้งอ้อยเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีการส่งออกเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะนำไปแปรรูปเป็นน้ำตาล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมของประเทศที่มีผลผลิตติด 1 ใน 5 อันดับแรกของโลก การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่นนั้น เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนในท้องถิ่นให้เข้าถึงระบบประกันภัยโดยตรงกับความต้องการ และเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้าถึงระบบประกันภัย และสามารถนำระบบประกันภัยเข้ามาใช้ในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญกับภาคเกษตรกรรมของประเทศ     เป็นอย่างยิ่ง โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อการเกษตรตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2564-2566) ผ่านการดำเนินการเป็นรูปธรรมหลายด้าน ได้แก่ การประกันภัยข้าวนาปีและการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการนำระบบประกันภัยไปช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจของประชาชน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมของประเทศ ซึ่งประกันภัยอ้อยถือว่าเป็นโมเดลใหม่ของประกันภัยพืชผลทางเกษตร โดยดึงผู้ประกอบธุรกิจผลิตน้ำตาลเข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถเข้าถึงประกันภัย
ในการเสวนาครั้งนี้มีการเสวนาเกี่ยวกับการประกันภัยอ้อย ในหัวข้อ“เกษตรกรอุ่นใจ ด้วยกรมธรรม์ประกันภัยอ้อย” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก 5 หน่วยงาน ได้แก่ นายประเสริฐ วณิชชากรวิวัฒน์ เกษตรจังหวัดอุทัยธานี นายบุญเลิศ มักสิก ผู้จัดการฝ่ายไร่ บริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลบ้านไร่ จํากัด นางสาวทัศนวรรณ เชาว์ดำรงสกุล หัวหน้ากลุ่มกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับบุคคล สำนักงาน คปภ. นายจักรพันธุ์  รอดอ่อง เกษตรกรชาวไร่อ้อย และนางสาวอภิญญา เฮงประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายรับประกันภัย บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ร่วมให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยในประเด็นต่าง ๆ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืชอ้อย พื้นที่การปลูกอ้อยของเกษตรกร ปัญหาของการปลูกอ้อยจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต การช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย ความเป็นมาของการพัฒนาประกันภัยอ้อย ความคุ้มครอง รูปแบบการรับประกันภัย การเคลมประกันภัย ทิศทางและแนวทางในการพัฒนารูปแบบการดำเนินการกรมธรรม์ประกันภัยอ้อยในอนาคต โดยวิทยากรทุกคนเห็นตรงกันว่าการประกันภัยอ้อยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยในการใช้ระบบประกันภัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้นอกจากเกษตรกรจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยอ้อยแล้ว สำนักงาน คปภ. จะนำความคิดเห็นและข้อแนะนำที่ได้จากการสัมมนาไปพัฒนาแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยอ้อยให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และส่งเสริมรูปแบบในการรับประกันภัยเพิ่มมากขึ้นต่อไป
 
จากนั้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 เลขาธิการ คปภ. ได้นำคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. ผู้แทนสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย กองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ลงพื้นที่ชุมชนบ้านผาทั่ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี โดยมี นายอนุชา  พัสถาน ปลัดจังหวัดอุทัยธานี ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ซึ่งเป็นการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 ตามโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 6 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้กับประชาชนในชุมชน ในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ให้ความช่วยเหลือ และรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมฐานความรู้เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต ความเสี่ยง และวัฒนธรรมของชุมชน พร้อมมีการถ่ายทำรายการ “คปภ. เพื่อชุมชน” เพื่อเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้านการประกันภัยในวงกว้าง อันจะเกิดประโยชน์ต่อการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัย ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากชาวชุมชน
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงพื้นที่ชุมชนบ้านผาทั่งในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่นด้วยวัฒนธรรมประเพณี ที่แสดงออกผ่านผืนผ้าของพี่น้องชาวลาวครั่ง และลาวเวียง ที่มีความสวยงาม และสะท้อนถึงภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะเครื่องนอนก่อนวิวาห์ มีที่มาจากประเพณีก่อนเข้าวิวาห์ ที่เจ้าสาวต้องทอผ้าด้วยมือทุกขั้นตอน และได้รับรางวัลระดับโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) นอกจากนั้นยังมีความโดดเด่นด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ยักษ์ หรือต้นเซียงยักษ์อายุเก่าแก่หลายร้อยปี ขนาดใหญ่ ประมาณ 40 คนโอบ ความโดดเด่นด้วยวิถีการใช้ชีวิต และการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งการทำไร่อ้อย และการทำสวนเกษตร เช่น สวนผักกูด และสวนไผ่ อย่างไรก็ดีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนย่อมมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินเสมอ โดยเฉพาะบ้านเรือนในชุมชนส่วนใหญ่ปลูกสร้างด้วยไม้จำนวนมาก ซึ่งไม้เป็นวัสดุที่ติดไฟง่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัยในบ้านที่อยู่อาศัย อีกทั้งชุมชนบ้านผาทั่งแห่งนี้ มีผ้าทอโบราณที่เป็นงานฝีมือที่มีมูลค่ามาก ดังนั้นการทำประกันอัคคีภัยสามารถช่วยบริหารความเสี่ยง และสร้างความอุ่นใจแก่ชาวชุมชนได้เป็นอย่างดี
 
นอกจากนี้ ชาวชุมชนในพื้นที่อำเภอบ้านไร่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่อ้อยและประสบกับปัญหาภัยแล้ง
อยู่เนื่อง ๆ ดังนั้นการทำประกันภัยพืชผลอ้อยจากภัยแล้งโดยใช้ดัชนีน้ำฝนแล้ง (ตรวจวัดด้วยดาวเทียม) สำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวร์รันส์) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตาม “โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์” ก็สามารถช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้ด้วย
 
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ได้เคาะประตูบ้านประชาชนเพื่อเยี่ยมและพูดคุยกับชาวชุมชน รวมทั้งรับฟังสภาพปัญหา และความต้องการด้านประกันภัย เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงของชาวชุมชน กรณีเหตุไฟไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) ภายในบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในห้องทำงานได้รับความเสียหาย ซึ่งสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้การช่วยเหลือในกรณีนี้เนื่องจากมีปัญหาในการตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จนเป็นผลให้ชาวชุมชนรายนี้ได้รับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม
 
“การลงพื้นที่ชุมชนของสำนักงาน คปภ. ครั้งนี้เป็นการบูรณาการโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย กับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน เพื่อขับเคลื่อนประกันภัยอ้อย รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถใช้เป็นโมเดลสร้างภูมิคุ้มกันในการประกอบอาชีพด้านการเกษตร ตลอดจนช่วยยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรไทยให้มีความยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
...................................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

หน้า

Subscribe to RSS - ข่าว