ข่าว

รับสมัครสอบคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาของสำนักงาน คปภ. สำหรับบุคคลภายนอก ประจำปี 2566 (หมดเขตรับสมัคร 30 พฤษภาคม 2566)

< >
วันที่เผยแพร่: 
25 เมษายน 2566
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. – กรมการขนส่งทางบก เดินหน้าระบบเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเพื่อตรวจสอบการทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปี พร้อมให้บริการประชาชนด้านประกันภัยอย่างครบวงจร

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
23 เมษายน 2566

คปภ. – กรมการขนส่งทางบก เดินหน้าระบบเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเพื่อตรวจสอบการทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปี พร้อมให้บริการประชาชนด้านประกันภัยอย่างครบวงจร

 

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปี ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) กับ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยมี นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้แทนจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสื่อมวลชน ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

 

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการทำบันทึกความร่วมมือ (MoU) ระหว่าง สำนักงาน คปภ. และ กรมการขนส่งทางบก เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 เพื่อเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับและอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ให้กับประชาชนผู้ใช้บริการต่อภาษีรถมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งหลังจากนั้น ได้มีการเชื่อมระบบตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับสำหรับการชำระภาษีรถประจำปี ใน 2 ช่องทาง ได้แก่ ตู้รับชำระภาษีอัตโนมัติ “Kiosk” และแอปพลิเคชัน DLT “Vehicle Tax” รวมถึงแต่งตั้งคณะทำงานการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ระหว่างกรมการขนส่งทางบกกับสำนักงาน คปภ. เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพิ่มเติม โดยมีสมาคมประกันวินาศภัยไทยเข้าร่วมบูรณาการด้วย เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบในส่วนของการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับแบบครบวงจร โดยเป็นการพัฒนาระบบ Web Service ผ่านช่องทาง Leased Line ซึ่งเป็นรูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระหว่างกรมการขนส่งทางบกและสำนักงาน คปภ. มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยและรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลการทำประกันภัย ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจร 

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า “ระบบรายงานข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance System : CMIS)” เป็นระบบที่มีการรายงานการรับประกันภัยรถภาคบังคับผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทันทีหลังจากมีการรับประกันภัย (real time) โดยได้รับการพัฒนาขึ้นให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น ภายใต้ความมั่นคงปลอดภัยระดับสูง และมีการเชื่อมโยงผ่านระบบ CMIS ของสำนักงาน คปภ. กับระบบ e-Service ของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัย 5 ระดับ ได้แก่ การยืนยันตัวตนด้วย (ใบรับรอง อิเล็กทรอนิกส์ : SSL Certification) การยืนยันด้วย (ที่อยู่ อิเล็กทรอนิกส์ : IP Address) การเข้ารหัสด้วย SSL มาตรฐานการเข้ารหัสการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย การเข้ารหัสด้วยใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ : Encryption Certification และระบบคุยกันผ่านช่องทางส่วนตัวเพื่อติดต่อกันระหว่าง 2 หน่วยงาน (Private Link) เพื่อให้มั่นใจในระบบดูแลความปลอดภัยไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะลดระยะเวลาการให้บริการประชาชนที่มาติดต่อดำเนินงานด้านทะเบียนและภาษีรถ รวมทั้งลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชนในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ของประชาชนผู้ใช้บริการต่อภาษีรถประจำปี สอดรับกับนโนบายของกระทรวงคมนาคม และสอดคล้องกับการเป็นหน่วยงานรัฐดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล จึงได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดให้มีประกันภัยภาคบังคับ และตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของประกันภัยภาคบังคับที่เจ้าของรถหรือประชาชนต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบในการชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดภาระในการจัดเก็บเอกสารกรมธรรม์ในรูปแบบกระดาษ ทั้งนี้จะใช้ระบบรายงานข้อมูลฯ เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป โดยในระยะแรกจะดำเนินการคู่ขนานไปกับระบบปกติก่อน

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับดังกล่าว กรมการขนส่งทางบกและสำนักงาน คปภ. ได้พัฒนาระบบเสร็จสมบูรณ์ตลอดจนมีการเชื่อมโยงข้อมูลแล้วตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2565 ปัจจุบันได้ให้บริการตรวจสอบข้อมูลการรับประกันภัย พ.ร.บ. ไปแล้วกว่า 23 ล้านรายการ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2566) จึงเป็นการยกระดับการให้บริการประชาชนโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการให้บริการของ 2 หน่วยงานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ได้จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. โดยที่ไม่ต้องแสดงหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. แบบกระดาษ เมื่อต่อภาษีรถประจำปีในทุกช่องทางของกรมการขนส่งทางบกอีกต่อไป 

 

“สำนักงาน คปภ. เชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปีจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างสะดวกและทั่วถึง และจะช่วยลดระยะเวลา ขั้นตอน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ซื้อประกันภัย พ.ร.บ. ขณะเดียวกันก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้มีการทำประกันภัย พ.ร.บ. มากขึ้น เพราะหากไม่ทำก็จะไปต่อภาษีรถประจำปีไม่ได้ โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมขับเคลื่อนการทำงาน เพื่ออำนวยประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เผยช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ปีนี้มอเตอร์ไซค์ครองแชมป์เกิดอุบัติเหตุพบไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. 46%

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
21 เมษายน 2566

คปภ. เผยช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ปีนี้มอเตอร์ไซค์ครองแชมป์เกิดอุบัติเหตุพบไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. 46% • เลขาธิการ คปภ. ย้ำเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท พร้อมเดินหน้ารณรงค์เชิงรุกให้รถทุกคันทำประกันภัย พ.ร.บ. ทั่วประเทศ

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาตลอด โดยเฉพาะการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์มาอย่างต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีพี่น้องประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนาพบปะญาติมิตรเพื่อรดน้ำดำหัวตามประเพณีสงกรานต์ ส่งผลให้การใช้รถใช้ถนนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยโดยได้ออก 8 มาตรการ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเทศกาลสงกรานต์ (ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2566) เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกับประชาชนผู้ประสบภัยได้ทันท่วงทีกรณีเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย มาตรการแรก เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์กับศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่จังหวัดจัดตั้งขึ้น ตามแนวนโยบายที่สำนักงาน คปภ. ให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยกับหน่วยงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มาตรการที่ 2 ร่วมกับจังหวัดตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ณ จุดตรวจร่วม/จุดบริการร่วม รวมทั้งประสานและประชุมกับเครือข่ายประกันภัยในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและสนับสนุนข้อมูลด้านการประกันภัย การจัดการสินไหมทดแทนให้กับประชาชน หากมีเหตุหรือความจำเป็นที่จะต้องได้รับการเยียวยาช่วยเหลือด้านการประกันภัย และ/หรือร่วมตั้งศูนย์บริการประกันภัยช่วง 7 วัน อันตรายระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัย  มาตรการที่ 3 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่ม แฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000 บาท ช่วงอายุการรับประกันภัยตั้งแต่ 15 - 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ผู้เอาประกันภัยแต่ละราย มีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเพียง 1 กรมธรรม์ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น  มาตรการที่ 4 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์ บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 30,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) และคุ้มครองโจรกรรม 5,000 บาท ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ผู้เอาประกันภัยแต่ละราย มีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเพียง 1 กรมธรรม์ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น มาตรการที่ 5 จัดกิจกรรมรณรงค์และประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น และ/หรือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รวมถึงสื่อมวลชนในพื้นที่ และสอดแทรกการประชาสัมพันธ์ เรื่อง กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท การประกันภัยรถตาม พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 รวมทั้งการรณรงค์ดื่มไม่ขับ การรณรงค์ให้ผู้ที่ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย และรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น   มาตรการที่ 6 ประชาสัมพันธ์ช่องทางที่จะใช้ในการติดต่อกับสำนักงาน คปภ. นอกเหนือจากสายด่วน คปภ. 1186 โดยในส่วนภูมิภาคขอให้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.) เป็นต้น 

ทั้งนี้จากข้อมูล ในช่วง 7 วันอันตราย (ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566) มีประชาชนใช้บริการผ่านสายด่วน คปภ. 1186 เป็นจำนวนมาก โดยประเด็นหารือที่ประชาชนสอบถามเข้ามามากที่สุด 5 อันดับ ประกอบด้วย อันดับแรกตรวจสอบและสอบถามเงื่อนไขความคุ้มครองประกันภัยรถภาคบังคับ อันดับที่ 2 ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับใบอนุญาต/สมัครสอบ/อบรม/การขอรับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัย อันดับที่ 3 ตรวจสอบและสอบถามเกี่ยวกับประกันภัยรถภาคสมัครใจ อันดับที่ 4 ต้องการร้องเรียนด้านประกันภัย และอันดับที่ 5 ขอคัด ตรวจสอบ และติดตามกรมธรรม์ประกันภัย. มาตรการที่ 7 กรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ สำนักงาน คปภ.ภาคและจังหวัด พร้อมลงพื้นที่โดยทันทีเพื่อติดตามช่วยเหลือและตรวจสอบด้านการประกันภัยเบื้องต้นว่ามีผู้ประสบภัยจากรถมีการทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยใด  ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ประสานผู้ประสบภัย ทายาทผู้ประสบภัย และบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งติดตามให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่จังหวัดจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตำรวจ สำนักงานขนส่งจังหวัด รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สาขาบริษัทประกันภัย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าผู้ประสบภัยได้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก จะได้ประสานบริษัทประกันภัยเพื่อช่วยติดตามการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไป. มาตรการที่ 8  สั่งการให้สำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ติดตามและรายงานความเสียหายด้านประกันภัยที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันอันตราย (ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566) ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงการรณรงค์ 7 วันแห่งความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) พบว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 2,203 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 264 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,208 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (68 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (22 ราย) และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช (70 คน) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต 2 จังหวัด คือ พัทลุง พังงา

สำหรับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้านการประกันภัย สำนักงาน คปภ. ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ณ วันที่ 18 เมษายน 2566 มีการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าสินไหมทดแทน จำนวน 70 ราย เป็นจำนวนเงิน 3,368,508 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 มีการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าสินไหมทดแทน จำนวน 139 ราย เป็นจำนวนเงิน 5,145,145 บาท จึงได้สั่งการให้บริษัทประกันภัยเร่งประเมินความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน 

 

 

นอกจากนี้ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ร้อยละ 75.25 และในจำนวนรถจักรยายนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมีร้อยละ 53.47 ที่ทำประกันภัย พ.ร.บ. ภาคบังคับ และร้อยละ 46.53 ที่ไม่ได้ทำประกันภัย พรบ. ภาคบังคับ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ายังมีรถที่อยู่นอกระบบการประกันภัย พ.ร.บ. อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีเจ้าของรถจำนวนมากที่ยังขาดความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน 

 

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความห่วงใยและฝากเตือนไปยังเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย ... หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย ... จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากเป็นผู้ที่ใช้รถที่ไม่ทำประกันภัย ... จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และหากเป็นทั้งเจ้าของรถที่ไม่ทำประกันภัย ... และได้นำรถคันนั้นออกไปใช้เองจะมีความผิดทั้ง 2 ข้อหา โดยมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จะยังคงมุ่งเน้นการรณรงค์เชิงรุกให้รถทุกคันทำประกันภัย ... ทั่วประเทศ ทั้งนี้หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถยนต์ 4 ประตู เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะคณะหมอพราหมณ์เสียชีวิตยกคัน 6 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ที่จังหวัดบุรีรัมย์

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
12 เมษายน 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถยนต์ 4 ประตู เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะคณะหมอพราหมณ์เสียชีวิตยกคัน 6 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ที่จังหวัดบุรีรัมย์

 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถยนต์ 4 ประตู หมายเลขทะเบียน กท 1375 ขอนแก่น เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บว 6071 บุรีรัมย์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย เหตุเกิดบนถนนหมายเลข 24 มุ่งหน้าไปทางอำเภอนางรอง ระหว่างกิโลเมตรที่ 131-132 หมู่ที่ 4 ตำบลเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 4 (นครราชสีมา) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันที โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถยนต์ 4 ประตู หมายเลขทะเบียน กท 1375 ขอนแก่น พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 6 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 6 ธันวาคม 2566 คุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยเบื้องต้นไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคสมัครใจแต่อย่างใด
 
ด้านรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บว 6071 บุรีรัมย์ พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 17 กันยายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 17 กันยายน 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยเบื้องต้นไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคสมัครใจแต่อย่างใด  
 
ทั้งนี้การติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ในเบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บว 6071 บุรีรัมย์ ที่เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท และผู้โดยสารรถยนต์กระบะที่เสียชีวิตทั้ง 5 ราย ทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยจะได้รับเงินเอาประกันภัยรายละจำนวน 500,000 บาท จากประกันภัยภาคบังคับ โดยสำนักงาน คปภ. จังหวัดบุรีรัมย์ จะอำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม สิทธินอกเหนือจากนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสาร และผลของคดีการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงาน คปภ. จังหวัดบุรีรีรัมย์ จะเร่งติดตามผลคดี และติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยเร็วที่สุด
 
ส่วนผู้บาดเจ็บ 1 ราย สำนักงาน คปภ. จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ เพื่อแจ้งสิทธิประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลจากกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. ผนึกพลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย-พันธมิตรธุรกิจ รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
11 เมษายน 2566

สำนักงาน คปภ. ผนึกพลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย-พันธมิตรธุรกิจ รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน

รับมืออุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปี 2566 ชู “4 RECHECK” คือ รีเช็คคน รีเช็ครถ รีเช็คเส้นทาง รีเช็คประกัน 
พร้อมเปิดตัวประกันภัย PA แฮปปี้สงกรานต์และประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง 
 
เป็นของขวัญให้กับคนไทยในเทศกาลสงกรานต์
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิด “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566” ของสำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และงานแถลงข่าวเปิดตัว “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) และ กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์)” ณ อาคารสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “RECHECK” โดยมุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตรวจเช็คความพร้อม 4 สิ่งสำคัญก่อนออกเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือ “เช็คคน” ตรวจสอบสภาพความพร้อมของผู้ขับขี่ ง่วงไม่ขับและเมาไม่ขับ “เช็ครถ” ตรวจสอบสภาพรถ เครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย “เช็คเส้นทาง” ตรวจสอบเส้นทางที่มีระยะทางสั้นที่สุด สภาพถนนมีความปลอดภัย และการจราจรไม่หนาแน่น และสุดท้าย “เช็คประกันภัย” ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการตรวจสอบสภาพผู้ขับขี่ สภาพรถ และสภาพเส้นทาง โดยผู้ขับขี่ควรตรวจสอบความพร้อมของกรมธรรม์ประกันภัย ทั้งการประกันภัยรถภาคบังคับ หรือประกันภัย พ.ร.บ. การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมไปถึงการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เช่น การประกันภัยอุบัติเหตุบุคคล การประกันภัยการเดินทาง เพื่อสร้างความมั่นใจและความอุ่นใจให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องเดินทาง ตลอดจนช่วยลดจำนวนและความรุนแรงอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมี ประธานสภาธุรกิจประกันภัยไทย นายกสมาคมประกันชีวิตไทย นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย นายกสมาคมการค้าผู้สำรวจภัยไทย ผู้แทนสมาคมประกันวินาศภัยไทย ผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนบริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย และสื่อมวลชน เข้าร่วมการจัดกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนพร้อมกันทั่วประเทศ ในรูปแบบ On-site และผ่านช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อสร้างการรับรู้และสามารถเข้าถึงประชาชนทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างทั่วถึงในวงกว้าง
 
เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวเปิดโครงการฯ โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้บูรณาการการทำงานเชิงรุกโดยร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่ ร่วมกับสำนักงาน คปภ. ภาค สำนักงาน คปภ. จังหวัด ทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจประกันภัย และในปีนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการในหลายส่วนเพื่อร่วมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมี 7 กิจกรรมสำคัญ ๆ คือ กิจกรรมแรก แถลงข่าวความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยในการขับเคลื่อนการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนตามนโยบายรัฐบาล กิจกรรมที่ 2 มอบของสนับสนุนโครงการความปลอดภัยทางถนนของภาคอุตสาหกรรมประกันภัยเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ทั้งในส่วนกลาง สำนักงาน คปภ. ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย ร่วมรณรงค์โครงการ เพื่อให้องค์กรเครือข่ายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ประกอบการจัดกิจกรรมให้เกิดประโยชน์ต่อไป ทั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันความปลอดภัยโดยตรง เช่น หมวกนิรภัย และอุปกรณ์ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
 
กิจกรรมที่ 3 การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและการเปลี่ยนหลอดไฟสำหรับรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่ไป ณ สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ในการร่วมสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว กิจกรรมที่ 4 การออบูธนิทรรศการ จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ บูธของสำนักงาน คปภ. กองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สมาคมภาคธุรกิจประกันภัยต่าง ๆ ตลอดจนบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ฯลฯ ซึ่งมีการนำเสนอเทคโนโลยีการประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน และกิจกรรมเชิงสังคมในการร่วมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมจำนวน 12 หน่วยงาน
 
กิจกรรมที่ 5 การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แนวคิดการรณความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผ่านผู้นำความคิดหรือ Influencer ในช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ในครั้งนี้ หมอแล็บแพนด้าหรือ คุณภาคภูมิ  เดชหัสดิน มาร่วมเผยแพร่ข้อมูลโครงการด้วย นอกจากนี้ CABB Bangkok ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแท็กซี่ร่วมเผยแพร่ข้อมูลการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน และกรมธรรม์ประกันภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของสำนักงาน คปภ. กิจกรรมที่ 6 การให้บริการประชาชนด้านการประกันภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดช่วง 7 วัน อันตรายของเทศกาลสงกรานต์ (ตั้งแต่วันที่ 11 - 17 เมษายน 2566) ผ่านช่องทาง สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Chabot LINE @OICConnect และ                                                                                   
กิจกรรมที่ 7 การแถลงข่าวเปิดตัว 2 กรมธรรม์ใหม่ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมไฮไลท์ของเทศกาลสงกรานต์ 2566 โดยสำนักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย 2 กรมธรรม์ คือ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) และ “กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์)” โดยมีความพิเศษกว่าทุกครั้ง คือมีการขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมากรมธรรม์ประกันภัยไมโครอินชัวรันส์ รับประกันภัยในช่วงอายุ 20-70 ปี แต่กรมธรรม์นี้ขยายความคุ้มครองให้ผู้เอาประกันภัยตั้งแต่อายุ 15-70 ปี ซึ่งจะครอบคลุมผู้ที่มีสิทธิทำประกันภัยเพิ่มขึ้นประมาณ 4 ล้านคน (รวมผู้มีสิทธิรับกรมธรรม์ฯ ประมาณ 50 ล้านคน) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยให้กับคนไทยทั่วประเทศ  
 
โดยกรมธรรม์แรก คือ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) ให้คุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท กรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สูญเสียสายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท ผลประโยชน์ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 14 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท สำหรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วยอวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท
และกรมธรรม์ที่สอง คือ “กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์) ให้คุ้มครองกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างเป็นคอนกรีต จำนวนเงินเอาประกันภัย 30,000 บาท ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ จำนวนเงินเอาประกันภัย 15,000 บาท ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารที่ไม่ใช่ตึกหรือครึ่งตึกครึ่งไม้และไม่เป็นห้องแถวไม้ จำนวนเงินเอาประกันภัย 10,000 บาท ในกรณีที่สิ่งปลูกสร้างเป็นห้องแถวไม้ จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท ในกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายจาก ลมพายุ/น้ำท่วม/แผ่นดินไหว/ภูเขาไฟระเบิด/คลื่นใต้น้ำ/สึนามิ/ลูกเห็บ ทุกภัยรวมกันได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 1,000 บาท
โดยมีการขยายความคุ้มครองค่าเช่าที่อยู่อาศัยชั่วคราว จำนวนเงินไม่เกินวันละ 300 บาท รวมแล้วไม่เกิน 30 วัน ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันภัยโจรกรรม คุ้มครองการลักทรัพย์ที่ปรากฏร่องรอยงัดแงะ การชิงทรัพย์ การปล้นทรัพย์ ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของผู้เอาประกันภัย ความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้าง ที่ระบุร่องรอย ความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างและ/หรือค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนล็อคประตูหน้าต่าง จำนวนเงินเอาประกันภัยไม่เกิน 5,000 บาท 
 
ทั้งนี้กรมธรรม์ทั้ง 2 ประเภท เป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาความคุ้มครอง 30 วัน ผู้เอาประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยแต่ละรายมีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 1 กรมธรรม์ ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น ผู้สนใจสามารถรับสิทธิ ได้จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การเปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 2 ประเภทในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้กับประชาชน โดยมีการจัดทำ 3 กิจกรรมต้นแบบเพื่อนำร่องในปีนี้ ซึ่งสามารถสแกน QR Code เพื่อลงทะเบียนรับกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวไทยปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) ได้ฟรีประกอบด้วย กิจกรรมแรกผ่านหน่วยงานความร่วมมือ (MOU) ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของกรมการปกครอง และกรมการขนส่งทางบก ประชาชนที่ทำงานในการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย    
 
 กิจกรรมต้นแบบที่ 2 ผ่านเครือข่ายอาสาสมัครทั่วประเทศ ทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย อาสาสมัครประกันภัย อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อฟปร.) และอาสาสมัครเกษตรกร และกิจกรรมต้นแบบที่ 3 ผ่านโครงการอัจฉริยะยุวชนประกันภัย เนื่องจากปีนี้ได้มีการขยายความคุ้มครองผู้สามารถรับสิทธิกรมธรรม์ประกันภัยไมโครอินชัวรันส์ ตั้งแต่อายุ 15 ปี บริบูรณ์ โดยปีนี้จะเริ่มนำร่องจากยุวชนที่ได้รับรางวัลจากโครงการอัฉริยะยุวชนประกันภัย ในปีที่ผ่านมา โดยโรงเรียน ที่นักเรียนชนะการประกวดระดับประเทศอันดับ 1-3 ประเภทเพลง ได้แก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค สระบุรี จังหวัดสระบุรี โรงเรียนภูกระดึงวิทยาคม จังหวัดเลย และโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ประเภทหนังสั้น ได้แก่ โรงเรียนตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี และโรงเรียนหนองบัวพิทยาคม จังหวัดน่าน 
 
“ผมเห็นว่าไม่ควรวัดความสำเร็จของการจัดกิจกรรมโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุของสำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยจากจำนวนตัวเลขการซื้อขายกรมธรรม์ประกันภัยฯ ในช่วง 7 วันอันตราย เท่านั้น แต่เห็นว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความสำเร็จอยู่ที่ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่เฉพาะภาคธุรกิจประกันภัย แต่ยังรวมถึงภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมามีการเพิ่มขึ้นของเครือข่ายต่าง ๆ ที่เข้าร่วมจัดกิจกรรมมากขึ้นทุกปี โดยขยายออกไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน รวมทั้งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีเบี้ยประกันภัยราคาถูก อันจะสามารถช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ทั้งนี้สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถเป็นกลไกที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยปีนี้ ผมขอส่งความห่วงใยและความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนทุกคน ขอให้เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และอย่าลืมตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและวันหมดอายุของการประกันภัยรถภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) เพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทาง สำนักงาน คปภ. พร้อมดูแลทุกท่าน โดยการเปิดให้บริการรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการประกันภัย ตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วง 7 วัน และอย่าลืม “RECHEK เช็คคน เช็ครถ เช็คเส้นทาง และเช็คประกัน” ทั้งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ LINE Official Account “คปภ. รอบรู้” @OICConnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถตู้ ชนรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
02 เมษายน 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถตู้ ชนรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ” 

เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บ 5 ราย ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮย 9180 กรุงเทพมหานคร เฉี่ยวชนรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ  หมายเลขทะเบียน 81-8978 นครศรีธรรมราช ส่วนต่อพ่วง หมายเลขทะเบียน 81-9208 นครศรีธรรมราช เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย เหตุเกิดบนถนนทุ่งใหญ่-ทุ่งสง หมู่ 8 ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช  เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช 
ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันที โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ฮย 9180 กรุงเทพมหานคร พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคบังคับกับ บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 8 กันยายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่                  8 กันยายน 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน 
นอกจากนี้รถยนต์ตู้ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประเภท 3+) กับบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 5 กันยายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 5 กันยายน 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายตัวรถยนต์ 100,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 600,000 บาทต่อครั้ง ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่เสียชีวิต จำนวน 1 คน 50,000 บาท และผู้โดยสารเสียชีวิต จำนวน 11 คน จำนวน 50,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล 12 คน จำนวนคนละ 50,000 บาทต่อครั้ง และประกันตัวผู้ขับขี่ จำนวน 100,000 บาทต่อครั้ง 
 
ด้านรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ส่วนหัวหมายเลขทะเบียน 81-8978 นครศรีธรรมราช พบทำประกันภัยภาคบังคับกับ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 1 เมษายน 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 1 เมษายน 2567 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน และพบการทำประกันภัยภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายตัวรถยนต์ 1,050,000 บาทต่อครั้ง สูญหาย ไฟไหม้ 1,050,000 บาท ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่ จำนวน 1 คน 50,000 บาท และผู้โดยสาร จำนวน 2 คน จำนวน 50,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล จำนวน 50,000 บาทต่อครั้ง และประกันตัวผู้ขับขี่ จำนวน 350,000 บาทต่อครั้ง 
สำหรับส่วนพ่วงหมายเลขทะเบียน 81-9208 นครศรีธรรมราช พบทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน และพบการทำประกันภัยภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 27 เมษายน 2566 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายตัวรถยนต์ 300,000 บาทต่อครั้ง สูญหาย ไฟไหม้ 300,000 บาท
 
ทั้งนี้การติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ในเบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮย 9180 กรุงเทพมหานคร ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จะได้รับค่าสินไหมทดแทน จำนวน 85,000 บาท จากการทำประกันภัยภาคบังคับในส่วนที่เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาท และจากการประกันภัยภาคสมัครใจในส่วนค่าสินไหมทดแทนจากความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 50,000 บาท ส่วนทายาทโดยธรรมของผู้โดยสารรถยนต์ตู้ที่เสียชีวิต 5 ราย จะได้รับเงินเอาประกันภัยรายละจำนวน 550,000 บาท จากประกันภัยภาคบังคับ 500,000 บาท และจากการประกันภัยภาคสมัครใจในส่วนค่าสินไหมทดแทนจากความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 50,000 บาท โดยสำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช จะอำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม สิทธินอกเหนือจากนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสาร และผลของคดีการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช จะเร่งติดตามผลคดี และติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยเร็วที่สุดส่วนผู้บาดเจ็บ 5 ราย สำนักงาน คปภ. จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลทุ่งใหญ่ เพื่อแจ้งสิทธิประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลจากกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบ พบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. บูรณาการเต็มพิกัดเปิดตัว “ประกันภัยสวนยางพารา” นำร่องให้เกษตรกรสวนยางจังหวัดชุมพร พร้อมนำทีมลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ บริการให้ความช่วยเหลือและแนะนำเรื่องประกันภัยแบบครบวงจร

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
30 มีนาคม 2566

เลขาธิการ คปภ. บูรณาการเต็มพิกัดเปิดตัว “ประกันภัยสวนยางพารา” นำร่องให้เกษตรกรสวนยางจังหวัดชุมพร พร้อมนำทีมลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ บริการให้ความช่วยเหลือและแนะนำเรื่องประกันภัยแบบครบวงจร

 

 ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยสวนยางพารา) โดยมีนายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ พลอยน้อย ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตด้านแผนและวิชาการ การยางแห่งประเทศไทยเขตภายใต้ตอนบน หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชุมพร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เกษตรกรชาวสวนยาง สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2566 ณ โรงแรมลอฟท์ มาเนีย บูติก โฮเทล อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

 

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเติมเต็มองค์ความรู้ด้านประกันภัยให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศเพื่อช่วยในเรื่องการบริหารความเสี่ยง โดยได้ดำเนินการส่งเสริมการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อการเกษตรในเชิงรุก ด้วยการจัดทำโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ และเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนในท้องถิ่นให้เข้าถึงระบบประกันภัย รวมทั้งช่วยพัฒนาและส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านการเกษตรในแต่ละพื้นที่ เช่น ประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ ของจังหวัดศรีสะเกษ การประกันภัยอ้อย จังหวัดอุทัยธานี และประกันภัยยางพาราในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้มีการขยายผลต่อในพื้นที่จังหวัดชุมพร เนื่องจากยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้ และเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับ 2 ของประเทศ โดยจังหวัดชุมพร มีพื้นที่ปลูกยางพารามากกว่า 781,004 ไร่ ดังนั้นสำนักงาน คปภ. จึงได้ร่วมบูรณาการกับการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดชุมพร ในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการประกันภัยสวนยางพารา เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางพารามีความรู้ความเข้าใจ และใช้ระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง อันจะสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพและส่งผลทำให้เกษรตรกรชาวสวนยางพารามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป

 

 

สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยสวนยางพารา ที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยไปแล้ว มีเงื่อนไขการรับประกันภัยต้นยางช่วงอายุ 7-26 ปี โดยจะให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติหลัก สำหรับความเสียหายของต้นยางพาราที่ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกที่เอาประกันภัย ซึ่งได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง อันเป็นผลเนื่องจาก 1) ไฟไหม้ รวมถึงไฟไหม้ที่เกิดจากหรือเป็นผลมาจากฟ้าผ่า 2) ภัยน้ำท่วม 3) ภัยลมพายุ ซึ่งความคุ้มครองดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารามีเครื่องมือประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เบี้ยประกันภัยรายปี (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) 99 บาทต่อไร่ จำนวนเงินเอาประกันภัย 1,600 บาทต่อไร่ 

 

 

ด้านนายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวขอบคุณสำนักงาน คปภ. ที่ได้คัดเลือกให้จังหวัดชุมพร เป็นจังหวัดเป้าหมายของการจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจตามโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยสวนยางพารา) ซึ่งมีความเหมาะสมและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรชาวจังหวัดชุมพร เพื่อให้การประกันภัยเข้ามาเติมเต็มและเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้กับเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดชุมพร ดังนั้นประกันภัยสวนยางพารา จึงมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อันจะสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพ และส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นต่อไป จากนั้นในวันที่ 28 มีนาคม 2566 เลขาธิการ คปภ. ได้นำคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ผู้แทนสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยมีนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายนวรัตน์  วงศ์ปิ่นเพชร นายอำเภอเมืองชุมพร และนางสาวเอื้องฟ้า  นวลมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำสิงห์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ตามโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 6 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้กับประชาชนในชุมชน ในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ให้ความช่วยเหลือ และรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ รวมถึงการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ประกันภัยน่ารู้ สู่ชุมชน” โดยมีวิทยากรจากสำนักงาน คปภ. ประกอบด้วย นายโสรัจจ์  แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ นายไกรเทพ รัชตพรพงศ์ หัวหน้ากลุ่มกฎหมายด้านความมั่นคงทางการเงิน และ ดร.กมลทิพย์ มหาวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มกำกับพฤติกรรมด้านการรับประกันภัย พร้อมถ่ายทำรายการ “คปภ. เพื่อชุมชน” เพื่อเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 และสื่อออนไลน์

 

 

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ได้เคาะประตูบ้านประชาชนเพื่อเยี่ยมและพูดคุยกับชาวชุมชน เพื่อรับฟังความคิดเห็น ปัญหา อุปสรรคเกี่ยวกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยางพาราในพื้นที่ตำบลถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยมี นายปรีชา ศิลปศร อดีตกำนัน ตำบลถ้ำสิงห์ เกษตรกรผู้เพาะปลูกยางพารา จำนวน 10 ไร่ ได้สะท้อนปัญหาที่หลากหลายโดยเฉพาะความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ ภัยลมพายุและภัยน้ำท่วม รวมทั้งโรคใบร่วง โรคราแป้ง โรคเส้นดำ โรคเปลือกเน่า โรครากขาว โรครากแดง แมลงและศัตรูพืช เช่น หนอนทราย ปลวก เพลี้ย และหนู ซึ่งการประกันภัยสวนยางพาราจะสามารถช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารามีเครื่องมือเพื่อบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ  

 

“การลงพื้นที่ชุมชนของสำนักงาน คปภ. ครั้งนี้เป็นการบูรณาการโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย กับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน เพื่อขับเคลื่อนและส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการประกันภัยสวนยางพาราแก่ประชาชนในท้องถิ่นให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและนำมาบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสวนยางพาราให้มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางพาราอย่างแท้จริงโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อบูรณาการและเพิ่มช่องทางเข้าถึงที่ใกล้ชิดกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางมากขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

 

ไฟล์ต่างๆ: 
AttachmentSize
Image icon s_20824069.jpg492.9 KB
Image icon s_20824071.jpg399.08 KB
Image icon s_20824074.jpg512.64 KB
Image icon s_20824075.jpg494.97 KB
Image icon s_20824079.jpg868.6 KB
Image icon s_20824082.jpg481.87 KB
Image icon s_20824083.jpg484.2 KB
Image icon s_20824084.jpg544.59 KB
Image icon s_20824085.jpg486.15 KB
Image icon s_20824088.jpg313.99 KB
Image icon s_20824092.jpg358.86 KB
Image icon s_20824093.jpg394.86 KB
Image icon s_20824094.jpg238.61 KB
Image icon s_20824096.jpg293.83 KB
Image icon s_20824097.jpg385.17 KB
Image icon s_20824098.jpg445.4 KB
Image icon s_20824099.jpg497.19 KB
Image icon s_20824100.jpg572.13 KB
Image icon s_20824101.jpg458.71 KB
Image icon s_20824102.jpg647.23 KB
Image icon s_20824104.jpg625.29 KB
Image icon s_20824105.jpg563.36 KB
Image icon s_20824109.jpg676.79 KB
Image icon s_20824111.jpg436.09 KB
Image icon s_20824112.jpg536.67 KB
Image icon s_20824114.jpg527.51 KB
Image icon s_20824117.jpg691.26 KB
Image icon s_20824120.jpg613.86 KB
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 10 ล้อ”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
28 มีนาคม 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 10 ล้อ” 

เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่จังหวัดขอนแก่น
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กธ 9415 พระนครศรีอยุธยา เฉี่ยวชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อ  หมายเลขทะเบียน 89-8980 นครราชสีมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเป็นชาย 2 ราย หญิง 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่อมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลโนนศิลา จำนวน 1 ราย รวมเสียชีวิต จำนวน 5 ราย เหตุเกิดบนไหล่ทางถนนหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) กม.276 ตำบลโนนศิลา อำเภอโนนศิลา จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันที โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กธ 9415 พระนครศรีอยุธยา ทำประกันภัยภาคสมัครใจ แบบคุ้มครองเฉพาะภัย (ชั้น 2+) กับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 คุ้มครองกรณีความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ. 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาทต่อครั้ง ความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ เนื่องจากการชน กับยานพาหนะทางบก 200,000 บาทต่อครั้ง ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่เสียชีวิต จำนวน 1 คน 100,000 บาท และผู้โดยสารเสียชีวิต จำนวน 4 คน จำนวน 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล จำนวน 100,000 บาทต่อคน และประกันตัวผู้ขับขี่ จำนวน 300,000 บาทต่อครั้ง โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
 
ด้านรถบรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 89-8980 นครราชสีมา ได้ทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 มีนาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 31 มีนาคม 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน และพบข้อมูลการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประเภท 3) กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 600,000 บาทต่อครั้ง ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่เสียชีวิต จำนวน 1 คน 500,000 บาท และผู้โดยสารเสียชีวิต จำนวน 2 คน จำนวน 500,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล จำนวน 50,000 บาทต่อครั้ง และประกันตัวผู้ขับขี่ จำนวน 500,000 บาทต่อครั้ง 
 
สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องต้นทายาทโดยธรรมของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กธ 9415 พระนครศรีอยุธยา ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต 5 ราย จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัยรายละ 100,000 บาท จากการทำประกันภัยความคุ้มครองการประกัยภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (ร.ย.01) ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ได้ประสานงานบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งบริษัทตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยที่เสียชีวิต ในวันที่ 30 มีนาคม 2566 และได้มอบหมายให้พนักงานของบริษัทในพื้นที่ติดต่อทายาทผู้เสียชีวิตเพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว และสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น ได้ตรวจสอบข้อมูลของทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิต พบว่าส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยสำนักงาน คปภ.จังหวัดขอนแก่นได้ประสานงานกับสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม สิทธินอกเหนือจากนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสาร และผลของคดีการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น และสำนักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ จะเร่งติดตามผลคดี และติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยเร็วที่สุด
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
 
“สำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 6 ล้อ”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
27 มีนาคม 2566

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 6 ล้อ” 

เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และผู้บาดเจ็บ 2 ราย ที่จังหวัดอุตรดิตถ์
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ขห 2496 เชียงใหม่ เสียหลักข้ามร่องเกาะกลางถนนเข้าไปชนในทางเดินรถบรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 70-8773 สมุทรสาคร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเป็นชาย 5 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ จำนวน 1 ราย รวมเสียชีวิต จำนวน 6 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นชาย 1 ราย หญิง 1 ราย นำตัวส่ง โรงพยาบาลพิชัย เหตุเกิดบนถนนหมายเลข 11 กม.285+400 หมู่ 1 ตำบลนายาง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุตรดิตถ์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัย พร้อมทั้งติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
 
ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้ลงพื้นที่ทันที โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ขห 2496 เชียงใหม่ ทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 20 กันยายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 20 กันยายน 2566 คุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน โดยยังไม่พบข้อมูลการทำประกันภัยภาคสมัครใจ
 
ด้านรถบรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 70-8773 สมุทรสาคร ได้ทำประกันภัยภาคบังคับกับบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน และพบข้อมูลการทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กับบริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 2 มกราคม 2566 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 2 มกราคม 2567 โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายต่อเสียชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก จำนวน 500,000 บาทต่อคน 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายตัวรถยนต์ 1,150,000 บาทต่อครั้ง ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่ จำนวน 1 คน 100,000 บาท และผู้โดยสาร จำนวน 2 คน จำนวน 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล จำนวน 100,000 บาทต่อครั้ง และประกันตัวผู้ขับขี่ จำนวน 200,000 บาทต่อครั้ง 
 
สำหรับการติดตามค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เบื้องต้นในกรณีที่รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ขห 2496 เชียงใหม่ (ถ้าเป็นฝ่ายผิด) ทายาทโดยธรรมของผู้ขับขี่รถเก๋ง จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเบื้องต้นเป็นค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท และผู้โดยสารที่เสียชีวิตในรถเก่๋งทั้ง 5 ราย ทายาทผู้ประสบภัยจะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 500,000 บาท จากการทำประกันภัยรถภาคบังคับ สำนักงาน คปภ. จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ประสานงานบริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งบริษัทตกลงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตและได้มอบหมายให้พนักงานของบริษัทในพื้นที่ติดต่อทายาทผู้เสียชีวิตเพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว ทั้งนี้สำนักงาน คปภ.จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ตรวจสอบข้อมูลของทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิต พบว่าส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำนักงาน คปภ.จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ประสานงานกับสำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินการอำนวยความสะดวกและติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรมเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลของคดีการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพิสูจน์ทราบต่อไป
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. จะบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกก็จะช่วยประสานงานให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้
“สำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาและกับทุกคน เพื่อความอุ่นใจ ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
....................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณพิรุณคุณากร

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
26 มีนาคม 2566

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณพิรุณคุณากร ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ประจำปี 2565 จากนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก และเลขาธิการ คปภ. เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้  โดยมีดร.อำพน กิตติอำพน องคมนตรี และนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

        ทั้งนี้ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. และ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาระบบประกันภัยสินค้าเกษตร ตั้งแต่ลงนามความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยการเกษตร การดำเนินโครงการ “คุ้มครองอุบัติเหตุ เซฟเกษตรอาสา” ที่เป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของระบบประกันภัยตลอดจนการเดินหน้าผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันภัยเกษตรกรรม เพื่อนำระบบประกันภัยรองรับความเสี่ยงภัยให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
 
หมวดหมู่ข่าว: 

หน้า

Subscribe to RSS - ข่าว