รับสมัครสอบคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาของสำนักงาน คปภ. สำหรับบุคคลภายนอก ประจำปี 2566 (หมดเขตรับสมัคร 30 พฤษภาคม 2566)
Attachment | Size |
---|---|
![]() | 119.98 KB |
![]() | 48.54 KB |
Attachment | Size |
---|---|
![]() | 119.98 KB |
![]() | 48.54 KB |
คปภ. – กรมการขนส่งทางบก เดินหน้าระบบเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเพื่อตรวจสอบการทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปี พร้อมให้บริการประชาชนด้านประกันภัยอย่างครบวงจร
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) พร้อมด้วย นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวระบบการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปี ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) กับ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยมี นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหารกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้แทนจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสื่อมวลชน ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ชั้น 2 สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการทำบันทึกความร่วมมือ (MoU) ระหว่าง สำนักงาน คปภ. และ กรมการขนส่งทางบก เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 เพื่อเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับและอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ให้กับประชาชนผู้ใช้บริการต่อภาษีรถมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งหลังจากนั้น ได้มีการเชื่อมระบบตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับสำหรับการชำระภาษีรถประจำปี ใน 2 ช่องทาง ได้แก่ ตู้รับชำระภาษีอัตโนมัติ “Kiosk” และแอปพลิเคชัน DLT “Vehicle Tax” รวมถึงแต่งตั้งคณะทำงานการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ ระหว่างกรมการขนส่งทางบกกับสำนักงาน คปภ. เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพิ่มเติม โดยมีสมาคมประกันวินาศภัยไทยเข้าร่วมบูรณาการด้วย เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบในส่วนของการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับแบบครบวงจร โดยเป็นการพัฒนาระบบ Web Service ผ่านช่องทาง Leased Line ซึ่งเป็นรูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระหว่างกรมการขนส่งทางบกและสำนักงาน คปภ. มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยและรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลการทำประกันภัย ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจร
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า “ระบบรายงานข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance System : CMIS)” เป็นระบบที่มีการรายงานการรับประกันภัยรถภาคบังคับผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทันทีหลังจากมีการรับประกันภัย (real time) โดยได้รับการพัฒนาขึ้นให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น ภายใต้ความมั่นคงปลอดภัยระดับสูง และมีการเชื่อมโยงผ่านระบบ CMIS ของสำนักงาน คปภ. กับระบบ e-Service ของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัย 5 ระดับ ได้แก่ การยืนยันตัวตนด้วย (ใบรับรอง อิเล็กทรอนิกส์ : SSL Certification) การยืนยันด้วย (ที่อยู่ อิเล็กทรอนิกส์ : IP Address) การเข้ารหัสด้วย SSL มาตรฐานการเข้ารหัสการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย การเข้ารหัสด้วยใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ : Encryption Certification และระบบคุยกันผ่านช่องทางส่วนตัวเพื่อติดต่อกันระหว่าง 2 หน่วยงาน (Private Link) เพื่อให้มั่นใจในระบบดูแลความปลอดภัยไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล
ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะลดระยะเวลาการให้บริการประชาชนที่มาติดต่อดำเนินงานด้านทะเบียนและภาษีรถ รวมทั้งลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชนในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ของประชาชนผู้ใช้บริการต่อภาษีรถประจำปี สอดรับกับนโนบายของกระทรวงคมนาคม และสอดคล้องกับการเป็นหน่วยงานรัฐดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล จึงได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดให้มีประกันภัยภาคบังคับ และตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของประกันภัยภาคบังคับที่เจ้าของรถหรือประชาชนต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบในการชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดภาระในการจัดเก็บเอกสารกรมธรรม์ในรูปแบบกระดาษ ทั้งนี้จะใช้ระบบรายงานข้อมูลฯ เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป โดยในระยะแรกจะดำเนินการคู่ขนานไปกับระบบปกติก่อน
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับดังกล่าว กรมการขนส่งทางบกและสำนักงาน คปภ. ได้พัฒนาระบบเสร็จสมบูรณ์ตลอดจนมีการเชื่อมโยงข้อมูลแล้วตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2565 ปัจจุบันได้ให้บริการตรวจสอบข้อมูลการรับประกันภัย พ.ร.บ. ไปแล้วกว่า 23 ล้านรายการ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2566) จึงเป็นการยกระดับการให้บริการประชาชนโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการให้บริการของ 2 หน่วยงานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ได้จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. โดยที่ไม่ต้องแสดงหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ. แบบกระดาษ เมื่อต่อภาษีรถประจำปีในทุกช่องทางของกรมการขนส่งทางบกอีกต่อไป
“สำนักงาน คปภ. เชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบการทำประกันภัย พ.ร.บ. สำหรับการชำระภาษีรถประจำปีจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างสะดวกและทั่วถึง และจะช่วยลดระยะเวลา ขั้นตอน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ซื้อประกันภัย พ.ร.บ. ขณะเดียวกันก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้มีการทำประกันภัย พ.ร.บ. มากขึ้น เพราะหากไม่ทำก็จะไปต่อภาษีรถประจำปีไม่ได้ โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมขับเคลื่อนการทำงาน เพื่ออำนวยประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
คปภ. เผยช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ปีนี้มอเตอร์ไซค์ครองแชมป์เกิดอุบัติเหตุพบไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. 46% • เลขาธิการ คปภ. ย้ำเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท พร้อมเดินหน้ารณรงค์เชิงรุกให้รถทุกคันทำประกันภัย พ.ร.บ. ทั่วประเทศ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมาตลอด โดยเฉพาะการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์มาอย่างต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีพี่น้องประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนาพบปะญาติมิตรเพื่อรดน้ำดำหัวตามประเพณีสงกรานต์ ส่งผลให้การใช้รถใช้ถนนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยโดยได้ออก 8 มาตรการ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเทศกาลสงกรานต์ (ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2566) เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกับประชาชนผู้ประสบภัยได้ทันท่วงทีกรณีเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย มาตรการแรก เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์กับศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่จังหวัดจัดตั้งขึ้น ตามแนวนโยบายที่สำนักงาน คปภ. ให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยกับหน่วยงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มาตรการที่ 2 ร่วมกับจังหวัดตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ณ จุดตรวจร่วม/จุดบริการร่วม รวมทั้งประสานและประชุมกับเครือข่ายประกันภัยในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและสนับสนุนข้อมูลด้านการประกันภัย การจัดการสินไหมทดแทนให้กับประชาชน หากมีเหตุหรือความจำเป็นที่จะต้องได้รับการเยียวยาช่วยเหลือด้านการประกันภัย และ/หรือร่วมตั้งศูนย์บริการประกันภัยช่วง 7 วัน อันตรายระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566 เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัย มาตรการที่ 3 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่ม แฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000 บาท ช่วงอายุการรับประกันภัยตั้งแต่ 15 - 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ผู้เอาประกันภัยแต่ละราย มีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเพียง 1 กรมธรรม์ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น มาตรการที่ 4 ประชาสัมพันธ์กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์ บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท ให้ประชาชนทราบถึงช่องทางการจำหน่าย รายชื่อหน่วยงาน บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วม และสาขาบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยในพื้นที่ เป็นต้น เงื่อนไขการรับประกันภัย ความคุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 30,000 บาท (ระยะเวลาการเอาประกันภัย 30 วัน) และคุ้มครองโจรกรรม 5,000 บาท ช่วงเวลาทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ผู้เอาประกันภัยแต่ละราย มีสิทธิได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเพียง 1 กรมธรรม์ต่อผู้ประกอบการ 1 ราย เท่านั้น มาตรการที่ 5 จัดกิจกรรมรณรงค์และประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น และ/หรือสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รวมถึงสื่อมวลชนในพื้นที่ และสอดแทรกการประชาสัมพันธ์ เรื่อง กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มแฮปปี้สงกรานต์ (ไมโครอินชัวรันส์) และกรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์บ้านหายห่วง (ไมโครอินชัวรันส์) เบี้ยประกันภัย 10 บาท การประกันภัยรถตาม พ.ร.บ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 รวมทั้งการรณรงค์ดื่มไม่ขับ การรณรงค์ให้ผู้ที่ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย และรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น มาตรการที่ 6 ประชาสัมพันธ์ช่องทางที่จะใช้ในการติดต่อกับสำนักงาน คปภ. นอกเหนือจากสายด่วน คปภ. 1186 โดยในส่วนภูมิภาคขอให้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.) เป็นต้น
ทั้งนี้จากข้อมูล ในช่วง 7 วันอันตราย (ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566) มีประชาชนใช้บริการผ่านสายด่วน คปภ. 1186 เป็นจำนวนมาก โดยประเด็นหารือที่ประชาชนสอบถามเข้ามามากที่สุด 5 อันดับ ประกอบด้วย อันดับแรกตรวจสอบและสอบถามเงื่อนไขความคุ้มครองประกันภัยรถภาคบังคับ อันดับที่ 2 ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับใบอนุญาต/สมัครสอบ/อบรม/การขอรับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัย อันดับที่ 3 ตรวจสอบและสอบถามเกี่ยวกับประกันภัยรถภาคสมัครใจ อันดับที่ 4 ต้องการร้องเรียนด้านประกันภัย และอันดับที่ 5 ขอคัด ตรวจสอบ และติดตามกรมธรรม์ประกันภัย. มาตรการที่ 7 กรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ สำนักงาน คปภ.ภาคและจังหวัด พร้อมลงพื้นที่โดยทันทีเพื่อติดตามช่วยเหลือและตรวจสอบด้านการประกันภัยเบื้องต้นว่ามีผู้ประสบภัยจากรถมีการทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยใด ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ประสานผู้ประสบภัย ทายาทผู้ประสบภัย และบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งติดตามให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนที่จังหวัดจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตำรวจ สำนักงานขนส่งจังหวัด รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สาขาบริษัทประกันภัย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าผู้ประสบภัยได้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก จะได้ประสานบริษัทประกันภัยเพื่อช่วยติดตามการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไป. มาตรการที่ 8 สั่งการให้สำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ติดตามและรายงานความเสียหายด้านประกันภัยที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันอันตราย (ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2566) ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงการรณรงค์ 7 วันแห่งความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) พบว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 2,203 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 264 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,208 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (68 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (22 ราย) และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช (70 คน) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต 2 จังหวัด คือ พัทลุง พังงา
สำหรับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้านการประกันภัย สำนักงาน คปภ. ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. ภาค 1-9 ณ วันที่ 18 เมษายน 2566 มีการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าสินไหมทดแทน จำนวน 70 ราย เป็นจำนวนเงิน 3,368,508 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 มีการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นและค่าสินไหมทดแทน จำนวน 139 ราย เป็นจำนวนเงิน 5,145,145 บาท จึงได้สั่งการให้บริษัทประกันภัยเร่งประเมินความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยความรวดเร็วเพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
นอกจากนี้ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ร้อยละ 75.25 และในจำนวนรถจักรยายนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมีร้อยละ 53.47 ที่ทำประกันภัย พ.ร.บ. ภาคบังคับ และร้อยละ 46.53 ที่ไม่ได้ทำประกันภัย พรบ. ภาคบังคับ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ายังมีรถที่อยู่นอกระบบการประกันภัย พ.ร.บ. อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีเจ้าของรถจำนวนมากที่ยังขาดความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน
“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความห่วงใยและฝากเตือนไปยังเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากเป็นผู้ที่ใช้รถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และหากเป็นทั้งเจ้าของรถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. และได้นำรถคันนั้นออกไปใช้เองจะมีความผิดทั้ง 2 ข้อหา โดยมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จะยังคงมุ่งเน้นการรณรงค์เชิงรุกให้รถทุกคันทำประกันภัย พ.ร.บ. ทั่วประเทศ ทั้งนี้หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัยกรณีรถยนต์ 4 ประตู เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะคณะหมอพราหมณ์เสียชีวิตยกคัน 6 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ที่จังหวัดบุรีรัมย์
สำนักงาน คปภ. ผนึกพลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย-พันธมิตรธุรกิจ รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน
คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถตู้ ชนรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ”
เลขาธิการ คปภ. บูรณาการเต็มพิกัดเปิดตัว “ประกันภัยสวนยางพารา” นำร่องให้เกษตรกรสวนยางจังหวัดชุมพร พร้อมนำทีมลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ บริการให้ความช่วยเหลือและแนะนำเรื่องประกันภัยแบบครบวงจร
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยสวนยางพารา) โดยมีนายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายสมเกียรติ พลอยน้อย ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตด้านแผนและวิชาการ การยางแห่งประเทศไทยเขตภายใต้ตอนบน หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชุมพร หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เกษตรกรชาวสวนยาง สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2566 ณ โรงแรมลอฟท์ มาเนีย บูติก โฮเทล อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเติมเต็มองค์ความรู้ด้านประกันภัยให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศเพื่อช่วยในเรื่องการบริหารความเสี่ยง โดยได้ดำเนินการส่งเสริมการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อการเกษตรในเชิงรุก ด้วยการจัดทำโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ และเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนในท้องถิ่นให้เข้าถึงระบบประกันภัย รวมทั้งช่วยพัฒนาและส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านการเกษตรในแต่ละพื้นที่ เช่น ประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ ของจังหวัดศรีสะเกษ การประกันภัยอ้อย จังหวัดอุทัยธานี และประกันภัยยางพาราในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้มีการขยายผลต่อในพื้นที่จังหวัดชุมพร เนื่องจากยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้ และเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับ 2 ของประเทศ โดยจังหวัดชุมพร มีพื้นที่ปลูกยางพารามากกว่า 781,004 ไร่ ดังนั้นสำนักงาน คปภ. จึงได้ร่วมบูรณาการกับการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดชุมพร ในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการประกันภัยสวนยางพารา เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางพารามีความรู้ความเข้าใจ และใช้ระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง อันจะสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพและส่งผลทำให้เกษรตรกรชาวสวนยางพารามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยสวนยางพารา ที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยไปแล้ว มีเงื่อนไขการรับประกันภัยต้นยางช่วงอายุ 7-26 ปี โดยจะให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติหลัก สำหรับความเสียหายของต้นยางพาราที่ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกที่เอาประกันภัย ซึ่งได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง อันเป็นผลเนื่องจาก 1) ไฟไหม้ รวมถึงไฟไหม้ที่เกิดจากหรือเป็นผลมาจากฟ้าผ่า 2) ภัยน้ำท่วม 3) ภัยลมพายุ ซึ่งความคุ้มครองดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารามีเครื่องมือประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เบี้ยประกันภัยรายปี (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) 99 บาทต่อไร่ จำนวนเงินเอาประกันภัย 1,600 บาทต่อไร่
ด้านนายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวขอบคุณสำนักงาน คปภ. ที่ได้คัดเลือกให้จังหวัดชุมพร เป็นจังหวัดเป้าหมายของการจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจตามโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยสวนยางพารา) ซึ่งมีความเหมาะสมและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรชาวจังหวัดชุมพร เพื่อให้การประกันภัยเข้ามาเติมเต็มและเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้กับเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดชุมพร ดังนั้นประกันภัยสวนยางพารา จึงมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อันจะสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพ และส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นต่อไป จากนั้นในวันที่ 28 มีนาคม 2566 เลขาธิการ คปภ. ได้นำคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ผู้แทนสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย พร้อมด้วยผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ลงพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยมีนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายนวรัตน์ วงศ์ปิ่นเพชร นายอำเภอเมืองชุมพร และนางสาวเอื้องฟ้า นวลมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำสิงห์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ตามโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 6 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้กับประชาชนในชุมชน ในรูปแบบ Mobile Insurance Unit หรือศูนย์บริการประชาชนด้านการประกันภัยเคลื่อนที่แบบครบวงจร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ให้ความช่วยเหลือ และรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ผ่าน “Mobile Complaint Unit” หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเคลื่อนที่ รวมถึงการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ประกันภัยน่ารู้ สู่ชุมชน” โดยมีวิทยากรจากสำนักงาน คปภ. ประกอบด้วย นายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ นายไกรเทพ รัชตพรพงศ์ หัวหน้ากลุ่มกฎหมายด้านความมั่นคงทางการเงิน และ ดร.กมลทิพย์ มหาวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มกำกับพฤติกรรมด้านการรับประกันภัย พร้อมถ่ายทำรายการ “คปภ. เพื่อชุมชน” เพื่อเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 และสื่อออนไลน์
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ได้เคาะประตูบ้านประชาชนเพื่อเยี่ยมและพูดคุยกับชาวชุมชน เพื่อรับฟังความคิดเห็น ปัญหา อุปสรรคเกี่ยวกับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยางพาราในพื้นที่ตำบลถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยมี นายปรีชา ศิลปศร อดีตกำนัน ตำบลถ้ำสิงห์ เกษตรกรผู้เพาะปลูกยางพารา จำนวน 10 ไร่ ได้สะท้อนปัญหาที่หลากหลายโดยเฉพาะความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ ภัยลมพายุและภัยน้ำท่วม รวมทั้งโรคใบร่วง โรคราแป้ง โรคเส้นดำ โรคเปลือกเน่า โรครากขาว โรครากแดง แมลงและศัตรูพืช เช่น หนอนทราย ปลวก เพลี้ย และหนู ซึ่งการประกันภัยสวนยางพาราจะสามารถช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารามีเครื่องมือเพื่อบริหารความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
“การลงพื้นที่ชุมชนของสำนักงาน คปภ. ครั้งนี้เป็นการบูรณาการโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย กับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน เพื่อขับเคลื่อนและส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการประกันภัยสวนยางพาราแก่ประชาชนในท้องถิ่นให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและนำมาบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสวนยางพาราให้มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางพาราอย่างแท้จริงโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อบูรณาการและเพิ่มช่องทางเข้าถึงที่ใกล้ชิดกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางมากขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
Attachment | Size |
---|---|
![]() | 492.9 KB |
![]() | 399.08 KB |
![]() | 512.64 KB |
![]() | 494.97 KB |
![]() | 868.6 KB |
![]() | 481.87 KB |
![]() | 484.2 KB |
![]() | 544.59 KB |
![]() | 486.15 KB |
![]() | 313.99 KB |
![]() | 358.86 KB |
![]() | 394.86 KB |
![]() | 238.61 KB |
![]() | 293.83 KB |
![]() | 385.17 KB |
![]() | 445.4 KB |
![]() | 497.19 KB |
![]() | 572.13 KB |
![]() | 458.71 KB |
![]() | 647.23 KB |
![]() | 625.29 KB |
![]() | 563.36 KB |
![]() | 676.79 KB |
![]() | 436.09 KB |
![]() | 536.67 KB |
![]() | 527.51 KB |
![]() | 691.26 KB |
![]() | 613.86 KB |
คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 10 ล้อ”
คปภ. ลงพื้นที่ทันทีให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณี “รถเก๋ง ชนรถบรรทุก 6 ล้อ”
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณพิรุณคุณากร ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ประจำปี 2565 จากนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก และเลขาธิการ คปภ. เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ โดยมีดร.อำพน กิตติอำพน องคมนตรี และนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี