ข่าว

คปภ. เปิดเวทีประชุม CEO Insurance Forum 2022 ระดมสมองภาคธุรกิจประกันภัยถอดบทเรียนโควิด

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
11 August 2565

คปภ. เปิดเวทีประชุม CEO Insurance Forum 2022 ระดมสมองภาคธุรกิจประกันภัยถอดบทเรียนโควิด

• ก้าวข้ามความเจ็บปวดสู่การร่วมพลังสร้างเกราะป้องกันให้ระบบประกันภัยของไทยมีความแข็งแกร่ง
ด้วย 7 มาตรการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษและเปิดการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจำปี 2565 (CEO Insurance Forum 2022) ภายใต้แนวคิด “Rebuilding Insurance Resilience to Overcome the VUCA World” ซึ่งเป็นการจัดประชุมในรูปแบบผสมผสาน (หรือ Hybrid Conference) เพื่อเป็นเวทีสื่อสารทิศทางและนโยบายในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้ง แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ณ ห้องประชุม CRYSTAL ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก 
 
ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “บทบาทของธุรกิจประกันภัยต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดีขึ้นมาเป็นลำดับ และคาดว่าภายในปีนี้ประเทศไทยจะพ้นวิกฤตโควิด และจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติต่อไป โดยแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้คาดการณ์ว่า
จะเป็นปกติ อันเนื่องมาจากกลไกทางเศรษฐกิจกลับมาทำงาน ภาคประกันภัยจำเป็นต้อง Rethink และทบทวนบทเรียนต่าง ๆ เพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า โดยที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยมีส่วนช่วยดูแลพี่น้องประชาชนผ่านมาตรการต่าง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่มีปัญหาบ้าง ก็ต้องนำมาทบทวนความเสี่ยง และต้องบริหารความเสี่ยงทั้งในภาวะปกติและไม่ปกติ ความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของภาคการเงิน ความเชื่อมั่นมาจากประชาชน โดยธุรกิจประกันภัยนำเงินของประชาชนไปบริหารความเสี่ยงผ่านการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ส่งผลทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากระบบประกันภัย ซึ่งระบบประกันภัยมีผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบด้วย หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ธุรกิจประกันภัย (Business) ประชาชนผู้บริโภค (Consumer) และนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) รวมถึงพนักงานบริษัท ตัวแทนประกันภัย/นายหน้าประกันภัย ซึ่งทั้ง 4 ส่วน มีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยให้กับประชาชน 
 
นอกจากนี้ต้องเร่งปรับตัวในเรื่อง Digitalisation ซึ่งระบบดิจิทัลจะเป็นเรื่องหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในช่วงหลังโควิด รวมถึงการให้บริการภาครัฐตามโครงการต่าง ๆ ก็จะใช้ Mobile Appication มากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจประกันภัย 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปแล้ว ธุรกิจประกันภัยจะเป็นเครื่องมือในการระดมเงินออมไปสู่การลงทุนที่สำคัญจึงต้องเตรียมความพร้อมใน 3 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ความมั่นคงของระบบประกันภัยที่ต้อง Rebuild ในการบริหารความเสี่ยงโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย และการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน เรื่องที่ 2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในทุกมิติหรือทุกภาคส่วน และเรื่องที่ 3 การส่งเสริมระบบประกันภัยให้เกิดความยั่งยืน Sustainable Insurance ซึ่งความยั่งยืนในเวทีเอเปคที่จะเกิดขึ้นเดือนตุลาคมนี้จะมีเรื่องความยั่งยืน Sustainable Financial รวมทั้งภาคการเงิน ตลาดทุน และภาคประกันภัย จะทำอย่างไรให้ธุรกิจประกันภัยมีความยั่งยืน เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจประกันภัยที่ดำเนินการมาคือ การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการโครงการพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ การประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นหลักประกันให้เกษตรกรผ่านระบบประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยง และได้ดำเนินการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่คาดการณ์ไม่ได้ อาจจะทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาด แต่ช่วยลดภาระภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยจากธรรมชาติ จึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลให้เกิดมั่นคงและความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืน 
จากนั้น ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(เลขาธิการ คปภ.) ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเสริมสร้างเกราะประกันภัย ภายใต้บริบทโลกใหม่” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า การประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจำปี 2565 (CEO Insurance Forum 2022) ภายใต้แนวคิด “Rebuilding Insurance Resilience to Overcome the VUCA World” เป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปีแห่งการพลิกฟื้นเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่ภาคธุรกิจและประชาชนต้องฝ่าฟันกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับความท้าทาย เพื่อที่จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้บริบทของความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) 
ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) โดยปัจจัยสำคัญที่จะนำพาให้มีการเติบโตโดยสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ภายใต้บริบท VUCA ได้ คือ การเปลี่ยนจากการตั้งรับ (Response) ต่อสถานการณ์และบรรเทาผลกระทบไปสู่ (Resiliency) การสร้างสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัย รวมถึงการฟื้นฟูและกู้คืนความเชื่อมั่น (Recovery) ได้อย่างทันกาล
 
ดังนั้น ทิศทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในปี 2566 โดยมีโจทย์ใหญ่ที่สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและเติบโตอย่างยั่งยืนใน 7 มาตรการ คือ มาตรการแรก การเสริมเกราะป้องกัน หรือ Resilience ให้กับภาคธุรกิจ ได้แก่ เร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันภัยจากภายในอย่างแท้จริง ให้มีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนองต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที โดยมีฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันจะเร่งส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยมีธรรมาภิบาลและการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การพิจารณารับประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย ไปจนถึงการจัดการค่าสินไหมทดแทน มาตรการที่ 2 เร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เน้นในเรื่อง Principle-Based มากขึ้น เพิ่มเติมมาตรการและแนวทาง (Policy Tools) ให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการเติบโตในระยะยาว และปรับพอร์ตการรับประกันภัยให้มีความสมดุล พร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่สำคัญ และสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป 
 
มาตรการที่ 3 การถอดบทเรียนจากประกันภัยโควิดแบบเจอ-จ่าย-จบ สำนักงาน คปภ. จะยกระดับกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มาตรการที่ 4 เร่งขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บท ด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย โดยร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและการรับฟังความคิดเห็นเป็นการทั่วไปแล้ว อยู่ระหว่างการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และการพิจารณาในชั้นรัฐสภาต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 3 ซึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ และร่าง พ.ร.บ. ประกันภัยทางทะเล อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา 
มาตรการที่ 5 ชูบทบาทของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) ให้มีบทบาททั้งเสริมสร้างความรู้ให้กับบุคลากรในธุรกิจประกันภัย และส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เสริมสร้างเผยแพร่องค์ความรู้ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประกันภัยในยุค New Normal 
มาตรการที่ 6 กระตุ้นให้ธุรกิจประกันภัยมีการประยุกต์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และมาตรการที่ 7 ผลักดันให้ประกันภัยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในแต่ละภูมิภาค และเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากสาธารณชน 
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างเกราะป้องกันให้ธุรกิจประกันภัย คือ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยผลักดัน สนับสนุน และขับเคลื่อนมาตรการและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความเข้มแข็ง และมีบทบาทในการสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งการประชุมครั้งนี้มี Highlight ตรงที่การประชุมกลุ่มย่อยเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจประกันภัยและสำนักงาน คปภ. มีการอภิปรายระดมความคิดเห็น เพื่อกลั่นกรองสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ โดยแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มย่อยที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “Embracing Prudential Insurance Ecosystem” โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล รองเลขาธิการ ด้านกำกับ เป็นประธานการประชุม สำหรับกลุ่มย่อยที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “Digitizing Insurance Supervisory Framework” โดยมี นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านตรวจสอบ เป็นประธานการประชุม และกลุ่มย่อยที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “Enhancing Trust for Sustainable Insurance” โดยมี นายชัยยุทธ  มังศรี รองเลขาธิการ ด้านกฎหมาย คดี และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เป็นประธานการประชุม ซึ่งการประชุมทั้ง 3 กลุ่มย่อยดังกล่าวจะมีเลขาธิการ คปภ. เข้าร่วมประชุมและให้ข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิดทั้ง 3 การประชุมกลุ่มย่อยดังกล่าว
 
ที่ประชุมทั้ง 3 กลุ่ม มีข้อสรุปร่วมกันและเห็นว่าสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป มีดังนี้
 1. ภาคธุรกิจประกันภัยต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น และสร้างความเชื่อมั่น สร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้เอาประกันภัย 
2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อรองรับความเสี่ยงภัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นควรใช้ประโยชน์จากโครงการ Insurance Regulatory Sandbox และโครงการ Product Innovation and Tailor-Made Sandbox ให้มากขึ้น 
3. นักคณิตศาสตร์ประกันภัยควรจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะ
นักคณิตศาสตร์ระดับเฟลโล่ (Fellow) ซึ่งต้องพิจารณารับรองผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่จะยื่นขอรับความเห็นชอบมายัง
นายทะเบียน 
4. เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่บริษัทประกันภัยควรมี คือ การยืนยันตัวตนของผู้เอาประกันภัย (Know Your Customer : KYC) ในการสนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งอาจเป็นระบบ KYC กลาง หรือใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วย 
5. การรับประกันภัย การจัดการทางบัญชีและการเงิน และการจัดการค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยควรมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน  
6. สำนักงาน คปภ. ควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การปรับปรุง Free Look Period ของผลิตภัณฑ์การให้ความคุ้มครองการแพ้วัคซีน 
7. การปรับปรุงระบบการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย 
8. การจัดทำฐานข้อมูลกลาง เพื่อใช้ในการติดตามกำกับดูแล การกระทำความผิดของตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย การใช้ฐานข้อมูลสำหรับการประสานความร่วมมือทางคดี 
9. การพัฒนาระบบการประสานงานข้อร้องเรียนด้านการประกันภัยโดยการส่งข้อร้องเรียนให้บริษัทประกันภัยที่ถูกร้องเรียนผ่านระบบอีเมล์ของแต่ละบริษัทเพื่อดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน แบบ Real Time
10. บริษัทประกันภัยควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 
11. แนวทางเกี่ยวกับกระบวนการเข้าทำสัญญา การใช้หรือการตีความข้อสัญญา และการยกเลิกสัญญาให้เป็นธรรม และไม่กระทบต่อผู้เอาประกันภัย การตีความสัญญาประกันภัยต้องเป็นไปตามกฎหมายประกันภัย หรือต้องปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัย และอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 โดยหากสัญญาข้อใดที่ไม่เป็นธรรมให้มีผลใช้บังคับได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
  “การประชุม CEO Insurance Forum 2022 ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยพร้อมที่จะเรียนรู้ร่วมกัน เหตุการณ์ที่ผ่านมาผมเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะไปโทษว่าใครผิด ใครถูก หรือโยนความผิดพลาดให้ใครรับผิดชอบ แต่ควรจะหันมาร่วมมือกันเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้และถอดบทเรียนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ระบบประกันภัยของไทยมีความแข็งแกร่งเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
…………...............................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. เร่งถกภาคธุรกิจประกันภัยระดมแนวทางแก้ pain points ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม

< >
วันที่เผยแพร่: 
09 August 2565

สำนักงาน คปภ. เร่งถกภาคธุรกิจประกันภัยระดมแนวทางแก้ pain points ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความ สัญญาประกันภัยสุขภาพตามมาตรฐานใหม่  
โดยเริ่มใช้รับประกันภัยกับลูกค้ารายใหม่ทุกราย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยให้ทุกบริษัทประกันภัยต้องกำหนดให้มีมาตรฐานเดียวกัน และมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี วิธีการรักษาทางการแพทย์และวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีความยั่งยืน เป็นธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณสุขของประเทศไทย
ทั้งนี้ จากการติดตามข้อมูลการรับประกันภัยดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พบว่ามี 2 ประเด็นที่สำคัญของการรับประกันภัยสุขภาพที่เกี่ยวกับการพิจารณารับประกันภัยผู้สูงอายุในขณะนี้ คือ ประเด็นแรก กรณีเมื่อผู้ขอเอาประกันภัยป่วยมาแล้ว หรือเป็นโรคมาแล้ว มาขอทำประกันภัยสุขภาพ บริษัทประกันภัยจะเข้มงวดในการรับประกันภัยเป็นอย่างมาก และอาจมีการปฏิเสธการรับประกันภัย หรืออาจกำหนดเงื่อนไขการรับประกันภัยว่าไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน พร้อมทั้งคิดเบี้ยประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากมีความเสี่ยงภัยของการป่วยที่มากกว่าความเสี่ยงภัยมาตรฐานทั่วไป เนื่องจากผู้สูงอายุมีสภาพร่างกายที่ต้องเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ หรือผู้สูงอายุบางรายมีโรคประจำตัว จึงส่งผลให้ผู้สูงอายุเข้าถึงประกันภัยสุขภาพได้ค่อนข้างยาก
ประเด็นที่ 2 สัญญาประกันภัยสุขภาพที่เสนอขายกันในปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว เป็นสัญญาที่ให้ความคุ้มครอง
ค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมทั้งการบาดเจ็บ และการป่วยในทุกโรค ไม่ได้มีสัญญาประกันภัยสุขภาพที่ออกแบบให้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่เป็นแบบเฉพาะกลุ่มโรค หรือเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มเด็ก 
 
สำนักงาน คปภ. ได้ตระหนักสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและความจำเป็นที่จะต้องจะดูแลประชาชนผู้สูงอายุให้เข้าถึงระบบประกันภัยสุขภาพอย่างแท้จริง จึงได้กำหนดประชุมหารือร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 เพื่อจัดทำแผนดำเนินงาน (Action Plan) ให้ชัดเจนในการดำเนินการแก้ไขประเด็นปัญหาในเรื่องการประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ร่วมกันจัดทำหลักเกณฑ์โดยเฉพาะสำหรับการรับประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เช่น การจัดทำแนวปฏิบัติในการเสนอขายประกันภัยสุขภาพผู้สูงอายุโดยเฉพาะ และการส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ทำประกันภัยสุขภาพมาก่อน หรืออาจจะเคยขอทำประกันภัยสุขภาพแล้วถูกปฏิเสธ เนื่องจากมีโรคประจำตัว หรือบางรายอาจเคยทำประกันภัยสุขภาพมาแล้ว แล้วถูกปฏิเสธการขอต่ออายุสัญญา เนื่องจากป่วย แต่ในปัจจุบันได้รักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายดีแล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกหลาย ๆ ทางเลือกให้กับประชาชนให้ได้เข้าถึงระบบประกันภัยสุขภาพ ภาคสมัครใจ ตามความเหมาะสมต่อไป
 
 ทั้งนี้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่ยั่งยืน ภาคธุรกิจประกันภัยได้มีการเสนอทางเลือกมายังสำนักงาน คปภ. รวมถึงความเป็นไปได้ในการใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง โดยอาจให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Copayment) หรืออาจจะกำหนด การให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเป็นแบบเฉพาะโรค ซึ่งเป็นโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เป็นกลุ่มโรคที่เหมาะสม เป็นกลุ่มโรคที่มักมีโอกาสเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพในรูปแบบเฉพาะนี้ จะช่วยเรื่องเบี้ยประกันภัยที่ถูกลง ทำให้ผู้สูงอายุ หรือลูกหลาน สามารถชำระเบี้ยประกันภัยสุขภาพได้ และยังเป็นการขยายแนวทาง การรับประกันภัยสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุให้มากขึ้นต่อไป ช่วยส่งเสริมให้สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ของประเทศไทยมีหลักประกันภัยด้านสุขภาพที่คุณภาพชีวิตที่ดี และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น 
 
“การที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สำนักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมที่จะหารือกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้สัญญาประกันภัยสุขภาพตามมาตรฐานใหม่และเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่จะแก้ Pain Point เรื่องประกันภัยสุขภาพสำหรับประชาชนผู้สูงอายุ อันจะส่งผลให้ประชาชนผู้สูงอายุในประเทศไทย สามารถบริหารค่าใช้จ่ายในยามเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนผู้สูงอายุในวัยเกษียณเข้าถึงและใช้ระบบประกันภัยสุขภาพเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาและหารือเกษตรกรชาวสวนยางพารา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
09 August 2565

เลขาธิการ คปภ. ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาและหารือเกษตรกรชาวสวนยางพารา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เล็งนำร่องใช้ระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราในการประกอบอาชีพ ผ่าน “โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยยางพารา)”
 
         ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนาตามโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยยางพารา) โดยมี นายศักดาพร รัตนสุภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสุราษฎร์ธานี หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคประชาชน สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมสัมมนา ณ โรงแรมแก้วสมุย รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565
 
โครงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชนในแต่ละภาค ภายใต้โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย เป็นนโยบายสำคัญของสำนักงาน คปภ. ที่ดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้ประชาชนในทุกภูมิภาคสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริงสำหรับปีนี้ สำนักงาน คปภ. ภาค 8 (สุราษฎร์ธานี) ได้เสนอ “โครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ (ประกันภัยยางพารา) เนื่องจากยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้ และยังเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับ 2 ของประเทศ โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรปลูกยางพารา จำนวน 81,829 ครัวเรือน และมีพื้นที่ปลูกยางพารามากกว่า 2 ล้านไร่ การสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนในท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยโดยตรงกับความต้องการ และสามารถนำระบบประกันภัยเข้ามาใช้ในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วม จำนวน 130 คน 
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญกับภาคเกษตรกรรมของประเทศเป็นอย่างมาก โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อการเกษตรตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2564-2566) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วยการทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยมีเสถียรภาพ สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชน พัฒนาเครือข่ายและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย และปรับปรุงกระบวนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยอย่างครบวงจร โดยสามารถผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านประกันภัยทางการเกษตรของประเทศผ่านการดำเนินนโยบายที่สำคัญในหลายด้าน อาทิ การประกันภัยข้าวนาปีและการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการนำระบบประกันภัยไปช่วยลดความเลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจของประชาชน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมของประเทศ ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก จึงมีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ และแมลงศัตรูพืช ฯลฯ โดยในปีนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2565 ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดเป้าหมายรวม จำนวน 29 ล้านไร่ นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565 โดยมีพื้นที่เป้าหมายรวม จำนวน 2.12 ล้านไร่ 
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมมือทางวิชาการร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยการเกษตร เพื่อร่วมมือผลักดันประกันภัยด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และบริหารจัดการความเสี่ยงในการทำการเกษตรของเกษตรกรแบบครบวงจร สร้างความเข้มแข็งแก่ภาคเกษตรกรรมในประเทศไทยให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน รวมทั้งสำนักงาน คปภ. ยังได้ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษา วิจัยเพื่อยกร่างกฎหมายประกันภัยพืชผลทางเกษตรโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยให้รองรับความเสี่ยงภัยของเกษตรกรอย่างยั่งยืน และเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและสามารถบริหารความเสี่ยงภัยจากภัยธรรมชาติ ให้บริษัทประกันภัยช่วยรับภาระความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงแทนภาครัฐและรองรับนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณของรัฐบาล ในการชดเชยเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ โดยให้ระบบประกันภัยร่วมเป็นกลไก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเกษตร และสอดคล้องกับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่ากรมธรรม์ประกันภัยสวนยางพารา นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันภัยรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 โดยรับประกันภัยต้นยางช่วงอายุ 7-26 ปี ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้จะให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติหลัก ซึ่งบริษัทตกลงที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยสำหรับความเสียหายของต้นยางพาราที่ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกที่เอาประกันภัย ซึ่งได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง อันเป็นผลเนื่องจาก 1) ไฟไหม้ รวมถึงไฟไหม้ที่เกิดจากหรือเป็นผลมาจากฟ้าผ่า (ไม่มีระยะเวลารอคอย) 2) ภัยน้ำท่วม (มีระยะเวลารอคอย 7 วัน) 3) ภัยลมพายุ (มีระยะเวลารอคอย 7 วัน) ซึ่งภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งความคุ้มครองดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารามีเครื่องมือประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เบี้ยประกันภัยรายปี (รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) 99 บาทต่อไร่ จำนวนเงินเอาประกันภัย 1,600 บาทต่อไร่ โดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยเป็นการคุ้มครองส่วนที่เพิ่มเติม (Top Up) จากที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งยางพาราอยู่ในส่วนของไม้ยืนต้นก็จะเป็น 4,048 ต่อไร่ ไม่เกิน 30 ไร่ ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 
 
ต่อจากนั้น ได้มีการเสวนาเกี่ยวกับการประกันภัยยางพารา โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก 4 หน่วยงาน ได้แก่ 1. นายชัยพร  นุภักดิ์ เกษตรจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. นายมโนพันธ์  ปานมี ผู้ช่วยผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดสุราษฎร์ธานี 3. นายศักดิ์ดา  สำลีพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 4. นางสาวทัศนวรรณ  เชาว์ดำรงสกุล หัวหน้ากลุ่มกำกับผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยสำหรับบุคคล สำนักงาน คปภ. โดยวิทยากรผู้เข้าร่วมเสวนาได้เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางตั้งแต่ กระบวนการเพาะปลูกยางพารา การขึ้นทะเบียนเกษตรกร การขอทุนเงินช่วยเหลือจาก ก.ย.ท ม. 49 (5) เหตุการณ์ภัยพิบัติ เช่น พายุเกย์ น้ำท่วมภาคใต้ ปี 2554 การเพาะปลูกยางพารา การช่วยเหลือของ ก.ย.ท และเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยสวนยางพารา โดยวิทยากรทุกคนเห็นตรงกันว่าการประกันภัยยางพาราจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรชาวสวนยางในการใช้ระบบประกันภัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยโดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้นอกจากเกษตรกรจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยสวนยางพาราแล้ว สำนักงาน คปภ. จะนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้จากการสัมมนาเพื่อไปปรับปรุงแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยยางพาราให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยเข้าร่วมมากขึ้นต่อไป
 
จากนั้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 เลขาธิการ คปภ.และคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ได้ลงพื้นที่เพื่อร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น ปัญหา อุปสรรคเกี่ยวกับประกันภัยสวนทุเรียนของชาวสวนทุเรียนในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนตำบลแม่น้ำ หมู่ที่ 2 ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมี นางสาวลัดดาวัลย์ บุญจันทร์ อาสาสมัครชุมชนเกษตรสวนทุเรียน อำเภอเกาะสมุย เป็นแกนนำกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัยสวนทุเรียน สำนักงาน คปภ. มีนโยบายเชิงรุกในการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาเกี่ยวกับความเสี่ยงของพืชผลทางเกษตรจากเกษตรกรชาวสวนทุเรียนบนเกาะสมุย เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกทุเรียนหมอนทองทวายที่ให้ผลผลิตนอกฤดูกาล (เดือนก.ค - ก.ย) เพาะปลูกบนภูเขาสูง และได้สะท้อนปัญหาที่หลากหลายโดยเฉพาะภัยจากศัตรูพืช เช่น โรคเชื้อราสีชมพูซึ่งเคยระบาดอย่างหนักทำให้ทุเรียนเสียหายนับพันต้น เมื่อ 4-5 ปีก่อน ราคาน้ำมัน ปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืชที่มีราคาที่สูงกว่าแผ่นดินใหญ่เนื่องจากเป็นพื้นที่เกาะและมีค่าขนส่งที่จะต้องนำมาใช้คำนวณเป็นต้นทุนการผลิต และข้อจำกัดของเจ้าของสวนทุเรียนอีกประการหนึ่ง คือ พื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่มีโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ เพียงแต่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ ก็อาจจะต้องดูนโยบายภาครัฐ รวมถึงการร่วมมือกับ ธกส. ในการให้ความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ความคุ้มครองของการประกันภัยทุเรียน หากพื้นที่ประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินทางการจะให้ความช่วยเหลือ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยทุเรียนก็จะสามารถช่วยเหลือในการบริหารความเสี่ยงให้กับชาวสวนทุเรียนได้ จะมีลักษณะเดียวกับการประกันภัยข้าวนาปีและประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในส่วนของสำนักงาน คปภ. เมื่อได้ข้อมูลจะนำมาวิเคราะห์ว่าในแต่ละปีมีภัยธรรมชาติอะไรที่ส่งผลกับสวนทุเรียน เนื่องจากการทำประกันภัยต้องนำสถิติข้อมูลความเสี่ยงภัยของเกษตรกรมาพิจารณา เช่น ภัยแล้ง ไฟป่า ไฟไหม้ พายุ น้ำท่วม ส่วนพื้นที่ที่อยู่บนที่สูง แล้วไม่มีน้ำท่วมก็อาจจะไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของน้ำท่วมอาจจะทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลง 
 
“การลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นและหารือเกี่ยวกับสภาพปัญหาจากพี่น้องชาวสวนยางพารา และสวนทุเรียน 
ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งนี้ เป็นการบูรณาการโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ประกันภัย เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง รวมทั้งใช้เป็นโมเดลสร้างภูมิคุ้มกันในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรและยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรไทยให้มีความยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
..................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตร (Super วปส.) รุ่นที่ 2

< >
วันที่เผยแพร่: 
08 August 2565
หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. นำคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
07 August 2565

เลขาธิการ คปภ. นำคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) นำคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ             พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 เพื่อร่วมแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD  
 
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เร่งช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีเพลิงไหม้ผับดังสัต**บ“เม้าส์เทน บี”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
05 August 2565

คปภ. เร่งช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีเพลิงไหม้ผับดังสัต**บเม้าส์เทน บี 

 

เลขาธิการ คปภ. สั่งตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมแนะผู้ประกอบสถานบริการทุกประเภทให้ความสำคัญทำประกันอัคคีภัยเพื่อนำระบบประกันภัยเยียวยาความสูญเสียต่าง ที่เกิดขึ้น 

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ผับชื่อดังในสัต**บเม้าส์เทน บี MountainB” เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 522 ตารางเมตร ตั้งอยู่เลขที่ 2/84 หมู่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัต**บ จังหวัดชลบุรี  ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 14 ราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากไฟคลอก จำนวน 33 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกลยุทธ์องค์กร สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรี ให้ลงพื้นที่จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งการรับแจ้งเรื่องการทำประกันภัย ตรวจสอบข้อมูลและเอกสารการทำประกันภัย และติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เพื่อใช้ระบบประกันภัยเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัวของผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม พร้อมสำรวจความเสียหายผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรีได้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว

 

ทั้งนี้ ได้รับรายงานจาก สำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรี ว่า จากการลงพื้นที่และตรวจสอบด้านการทำประกันภัย เบื้องต้นพบว่า สถานบริการเม้าส์เทน บี MountainB” ไม่ได้ทำประกันภัยไว้ ในส่วนของผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน 14 ราย มีการทำประกันภัยจำนวน 4 ราย ไว้กับบริษัท สหประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) วงเงินเอาประกันภัยรวม 4,760,000 บาท

 

สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ 33 ราย โดยเบื้องต้นตรวจสอบพบมีการทำประกันภัยจำนวน 14 ราย ไว้กับบริษัท ทีไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) วงเงินเอาประกันภัยรวม 12,993,733 บาท สำหรับการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำนักงาน คปภ. จังหวัดชลบุรีได้ประสานบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้แล้ว โดยมีการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือด้านประกันภัย ตั้งอยู่ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัต**บ จังหวัดชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งการรับแจ้งเรื่องการทำประกันภัย ตรวจสอบข้อมูลและเอกสารการทำประกันภัย และติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เพื่อใช้ระบบประกันภัยเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัวของผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น เพิ่มเติมอีก ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ

 

 

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ จึงฝากเตือนมายังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรให้ความสำคัญกับการทำประกันอัคคีภัยหรือการประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สินภายในสถานประกอบการ รวมถึงการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ที่ให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้ประกอบการมีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลอื่น เพื่อที่ระบบประกันภัยเข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง และเยียวยาความสูญเสียต่าง ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำนักงาน คปภ.จะเร่งรัดให้มีการเยียวยาด้านประกันภัยเพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยด้านประกันภัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือLine Chatbot@Oicconnect ข้อมูลอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. คว้าระดับ AA สูงสุดที่ 96.51 คะแนน เป็นปีที่สองติดต่อกัน ในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี 2565

< >
วันที่เผยแพร่: 
04 August 2565

คปภ. คว้าระดับ AA สูงสุดที่ 96.51 คะแนน เป็นปีที่สองติดต่อกัน ในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี 2565

 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2565 โดยได้จำแนกหน่วยงานของรัฐออกเป็น 17 ประเภท ได้แก่ หน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในสังกัดรัฐสภา ส่วนราชการระดับกรม รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน กองทุน หน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันอุดมศึกษา จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ซึ่งในการประเมิน ITA ในปีนี้ มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมรับการประเมินทั้งหมดกว่า 8,303 หน่วยงาน มีคะแนนภาพรวมระดับประเทศอยู่ที่ 87.57 คะแนน โดยในส่วนของสำนักงาน คปภ. ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับ AA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ด้วยคะแนน 96.51 จัดเป็นอันดับที่ 4 จาก 18 หน่วยงานในกลุ่มประเภทหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยได้รับ 100 คะแนนเต็มจากตัวชี้วัด “การเปิดเผยข้อมูล” และ “การป้องกันการทุจริต” 
 
ทั้งนี้ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment) หรือ “การประเมิน ITA” เป็นเครื่องมือสำคัญที่สำนักงาน ป.ป.ช. ใช้ในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานภาครัฐตามตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) โดยในการประเมิน ITA ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือการวัดประเมินผลซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน และการประมวลผลคะแนนเป็นตัวชี้วัดทั้งหมด 10 ด้าน ดังนี้ 
ส่วนที่ 1 แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency Assessment : IIT) ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 1 การปฏิบัติหน้าที่ ตัวชี้วัดที่ 2 การใช้งบประมาณ ตัวชี้วัดที่ 3 การใช้อำนาจ ตัวชี้วัดที่ 4 การใช้ทรัพย์สินของราชการ ตัวชี้วัดที่ 5 การแก้ไขปัญหาการทุจริต 
ส่วนที่ 2 แบบวัดการรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency Assessment : EIT) ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 6 คุณภาพการดำเนินงาน ตัวชี้วัดที่ 7 ประสิทธิภาพการสื่อสาร ตัวชี้วัดที่ 8 การปรับปรุงระบบการทำงาน 
ส่วนที่ 3 แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency Assessment : OIT) ได้แก่ ตัวชี้วัดที่ 9 การเปิดเผยข้อมูล ตัวชี้วัดที่ 10 การป้องกันการทุจริต
 
สำนักงาน คปภ. ได้เข้าร่วมการประเมิน ITA ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน โดยได้นำผลและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประเมินมาปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. ที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ด้วยการจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ตรงตามความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และมีช่องทางในการติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับประชาชน โดยข้อมูลที่เปิดเผยบนหน้าเว็บไซต์นั้นมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับทุกสายงานขององค์กร ซึ่งครอบคลุมถึงด้านของช่องทางการติดต่อผู้บริหาร การใช้จ่ายงบประมาณ การจัดการข้อร้องเรียน การป้องกันการทุจริต นโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล และความโปร่งใสในกระบวนการให้บริการแก่ประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกคนในองค์กรที่จะร่วมกันยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ทำให้ในปีนี้ สำนักงาน คปภ. ได้รับคะแนนที่ 96.51 คะแนน ในระดับ AA ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของสำนักงาน คปภ. ที่นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพันธกิจขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมแล้ว สำนักงาน คปภ. ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง การดำเนินงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ในทุกกระบวนการ และการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ของสำนักงาน คปภ. ด้วยการมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับ ผ่านการประกาศเจตจำนงสุจริต การกำหนดนโยบายและมาตรการด้านคุณธรรมและความโปร่งใส การจัดทำแนวปฏิบัติ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และการแต่งตั้ง ITA Agent ประจำทุกสายงาน เพื่อสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย 
 
............................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตำรวจเอาผิดผู้กระทำความผิดฐานการฉ้อฉลประกันภัย จำนวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
03 August 2565
สำนักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตำรวจเอาผิดผู้กระทำความผิดฐานการฉ้อฉลประกันภัย จำนวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย
 
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ได้มอบหมายให้ นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดด้านประกันภัย จำนวน 22 ราย ต่อ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) หรือ ตำรวจ ECD โดยแบ่งฐานความผิด ดังนี้ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 จำนวน 2 ราย ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 รายที่ 3 ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook) หลอกลวงขายกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 ในข้อหาทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน อีกทั้งมีการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือ เป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทำกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งปลอมแปลงและใช้หนังสืออนุญาตว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตการขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ และกระทำการปลอมแปลงและใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต   รายที่ 4 คือ บริษัท ซีเอสที 2019 (ประเทศไทย) จำกัด กับพวก ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหา กระทำการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือเป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทำสัญญาประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 63 ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 99 และกรณีกระทำการฉ้อฉลประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562  สำหรับรายที่ 5-22 ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารดังกล่าว เพื่อเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268  
 
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดด้านประกันภัยในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กฎหมายตามพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 โดยกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัยไว้ 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก มีการหลอกลวงให้ผู้อื่นทำประกันภัย กรณีที่ 2 เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเป็นเท็จ และกรณีที่ 3 ให้เรียกรับ ทรัพย์สิน เพื่อให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งในการปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้สำนักงาน คปภ. ได้ออกระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย พ.ศ. 2564 และได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือผู้แทนและผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน ซึ่งเลขาธิการแต่งตั้งจากผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย คดี         นิติวิทยาศาสตร์ หรือการฉ้อฉลประกันภัย เป็นกรรมการ โดยมีอำนาจในการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยหรือไม่ ซึ่งเมื่อมีมติให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแล้ว ก็จะเสนอต่อเลขาธิการ คปภ. เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนดำเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป 
 
 
  นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ออกประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สำหรับบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2564 และ ประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 เพื่อให้บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย รายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยให้บริษัทส่งรายงานเป็นรายไตรมาส ผ่านทางเว็บไซต์ที่สำนักงาน คปภ. กำหนด (Smart OIC) ระบบการแจ้งรายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิต และประกันวินาศภัย โดยในแต่ละประเภทจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัย และพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เช่น กรณีที่บริษัทเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นฉ้อฉลประกันภัย บริษัทสามารถรายงานเข้ามาในระบบโดยแบ่งประเภทเป็น ประกันภัยรถยนต์ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุต่าง ๆ เพื่อให้สำนักงาน คปภ. ทำการตรวจสอบ และเมื่อมีการรายงานผ่านระบบฉ้อฉลประกันภัย ระบบดังกล่าวจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยใช้ (Artificial Intelligence : AI) มาประมวลผลเพื่อแยกแยะพฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัยหรือพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย ต่อจากนั้นทีมฉ้อฉลประกันภัยจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่ปรากฏ หากเห็นว่ามีประเด็นที่จะต้องให้คณะกรรมการกลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัยพิจารณาก็จะนำเข้ามาสู่วาระพิจารณาของคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
 
 
 “การร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เพื่อบังคับใช้บทบัญญัติในเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันมิให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉวยโอกาส โดยการดำเนินการมีกระบวนการกลั่นกรองข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบและมีการนำเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยมาตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติที่อาจเข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย ดังนั้น จึงฝากเตือนผู้ที่คิดจะทำการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในเรื่องประกันภัย ว่าหากมีการกระทำความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีนโยบายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีสะพานกลับรถพังถล่ม ย่านถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาคร โดยระบบประกันภัยพร้อมเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
02 August 2565

คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีสะพานกลับรถพังถล่ม ย่านถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาคร โดยระบบประกันภัยพร้อมเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีสะพานกลับรถหน้าโรงพยาบาลวิภาราม กม.ที่ 34 ตำบลบางกระเจ้า อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ที่อยู่ระหว่างการปิดซ่อมบำรุง พังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่สัญจรอยู่บนถนนพระราม 2 ช่องทางด่วน ขาเข้ากรุงเทพฯ ส่งผลทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน และทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรสาคร ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

 

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบความเสียหายทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินจากการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ พบว่า 

 

1. รถยนต์เก๋ง ทะเบียน ชธ 6271 กรุงเทพมหานคร ถูกแผ่นปูนความยาวกว่า 10 เมตร น้ำหนักราว 5 ตัน หล่นลงมาทับทั้งคันจนรถขาดท่อน ผู้โดยสารเสียชีวิตติดอยู่ภายในรถยนต์ 1 ราย ส่วนคนขับได้รับบาดเจ็บ 1 ราย โดยรถยนต์คันดังกล่าวทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (...) ไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน นอกจากนี้ยังได้ทำประกันภัยภาคสมัครใจไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยให้ความคุ้มครองรับผิดต่อบุคคลภายนอกความเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุด ตาม ... จำนวน 500,000 บาท รวม 10,000,000 บาท ต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก จำนวนเงิน 5,000,000 บาทต่อครั้ง และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลแนบท้าย กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ จำนวน 100,000 บาท และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสำหรับผู้โดยสารกรณีเสียชีวิต 100,000 บาทต่อคน

 

 

2. รถกระบะ ทะเบียน 3 ฒธ 5940 กรุงเทพมหานคร ด้านหน้ารถถูกแผ่นปูนทับ มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย โดยรถยนต์คันดังกล่าวทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (...) ไว้กับ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 

เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2566 และทำประกันภัยภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2566 

 

 

3. รถยนต์บรรทุกน้ำมัน ทะเบียน 70-9316 พระนครศรีอยุธยา ทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (...) ไว้กับบริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2564 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำประกันภัยภาคสมัครใจ ไว้กับบริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2564 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยให้ความคุ้มครองรับผิดต่อบุคลภายนอกความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุด ตาม ... จำนวน 500,000 บาท รวม 10,000,000 บาท ต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก จำนวนเงิน 10,000,000 บาท ต่อครั้ง และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลแนบท้ายกรณีเสียชีวิตสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ จำนวน 100,000 บาท และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสำหรับผู้โดยสารกรณีค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อคน

 

 

4. คนงานก่อสร้างสะพานดังกล่าว เสียชีวิต 1 ราย โดยทำประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ไว้กับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2564 สิ้นสุดวันคุ้มครองวันที่ 22 ธันวาคม 2565 

โดยความคุ้มครองการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จำนวน 100,000 บาท และการรักษาพยาบาลต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งจำนวน 5,000 บาท

 

 

สำหรับการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรสาคร ได้ประสานบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุในครั้งนี้แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น เพิ่มเติมอีก ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ

 

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยต่อผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน จึงควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (...) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. ลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีรถทัวร์นักท่องเที่ยว “ชาวขอนแก่น-กาฬสินธุ์” ประสบอุบัติเหตุในประเทศลาว

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
01 August 2565

คปภ. ลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีรถทัวร์นักท่องเที่ยวชาวขอนแก่น-กาฬสินธุ์ประสบอุบัติเหตุในประเทศลาว

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ หมายเลขทะเบียน บก 1499 สะหวันนะเขต ซึ่งจ้างเหมาโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด 789 รุ่งเรือง (กาฬสินธุ์) เพื่อพานักท่องเที่ยวชาวไทยจากจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดขอนแก่น จำนวน 24 คน เดินทางกลับจากการท่องเที่ยวที่จังหวัด เว้ห์ ดานัง ฮอยอัน ซึ่งเป็นจังหวัดในภาคกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยรถแล่นมาตามถนนหมายเลข 9 ใกล้กับโรงงานน้ำตาล บ้านเหลียนไช เมืองอาจสะพังทอง แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกิดอุบัติเหตุชนประสานงากับลูกพ่วงของรถบรรทุกพ่วงอย่างแรง เป็นเหตุทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเสียชีวิต 3 ราย นักท่องเที่ยวชาวลาว 2 ราย นักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม 1 ราย และมีนักท่องเที่ยวชาวไทยบาดเจ็บจำนวน 18 ราย โดยถูกนำส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมุกดาหาร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 นั้นเบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. ภาค 5 (อุบลราชธานี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดมุกดาหาร ตรวจสอบการทำประกันภัยพร้อมเร่งอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด 789 รุ่งเรือง (กาฬสินธุ์) ทำประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (แบบพิเศษ) ไว้กับ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 โดยกรมธรรม์ดังกล่าว มีความคุ้มครองจากการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือ ทุพพลภาพสิ้นเชิง อบ. 1 จำนวน 1,000,000 บาท และการค่ารักษาพยาบาลต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งต่อคน ต่อระยะเวลาเดินทางไม่เกินวงเงิน จำนวน 500,000 บาท สำหรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้ง 3 ราย ในเบื้องต้นครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 1,000,000 บาท ในส่วนของผู้บาดเจ็บ 18 ราย ที่ถูกนำส่งเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมุกดาหาร เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. จังหวัดมุกดาหาร ได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลดังกล่าว พร้อมประสานบริษัทเมือง ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่ออำนวยความสะดวก และรับรองสิทธิค่ารักษาพยาบาลกับโรงพยาบาล โดยผู้บาดเจ็บไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาตัวแต่อย่างใด 

 

นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทำประกันภัยประเภทอื่น เพิ่มเติมอีก ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ

ในส่วนของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น 2 ราย และจังหวัดกาฬสินธุ์ 1 ราย ทางสำนักงาน คปภ. จังหวัดมุกดาหาร ได้ประสานไปยังสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น และสำนักงาน คปภ.จังหวัดกาฬสินธุ์ ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลพื้นที่ดังกล่าว ลงพื้นที่อำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และเร่งประสานบริษัทประกันภัยเพื่อพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเร่งด่วน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวลาว 2 ราย และนักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม 1 ราย ที่เสียชีวิต ได้ประสานบริษัทฯ เพื่อตรวจสอบสิทธิว่าจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์หรือไม่ต่อไป

 

สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยต่อผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด จึงขอให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทำประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

หมวดหมู่ข่าว: 

Pages

Subscribe to RSS - ข่าว