ข่าว

คปภ. เพิ่มภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ SMEs นำร่องลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
15 December 2565

คปภ. เพิ่มภูมิคุ้มกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ SMEs นำร่องลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต

สร้างเกราะให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจและใช้ประโยชน์จากประกันภัยเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาในหัวข้อ “ประกันภัยถูกทางสร้างเกราะให้ SMEs” เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต ซึ่งจัดโดยสายกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจด้านประกันภัยเชิงรุกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม หรือ ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ได้เข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ความคุ้มครอง ตลอดจนข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของบุคคลหรือธุรกิจของตนเอง โดยมีการให้ความรู้ในหัวข้อ “การประกันภัยสำหรับธุรกิจ SMEs” ที่เกี่ยวกับหลักการประกันภัย ประเภทการประกันภัยที่จำเป็นต่อธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง
ของธุรกิจด้วยการประกันภัย หลักการที่จำเป็นในการพิจารณาทำประกันภัย รวมถึงกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 
นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ในหัวข้อ “ประกันภัยถูกทางสร้างเกราะให้ SMEs” ที่เกี่ยวกับหลักกฎหมายและหลักการประกันภัย โดยมีผู้ประกอบการและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก เช่น หอการค้าไทยจังหวัดภูเก็ตและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอี จังหวัดภูเก็ต สภาอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
 
ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับและได้กล่าวขอบคุณที่สำนักงาน คปภ. เลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่เป้าหมายในการให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ผู้ประกอบการ SMEs อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัยต่อการประกอบธุรกิจ เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทย ตกเฉลี่ยปีละ 4- 5 ล้านคน ดังนั้นรายได้หลักของจังหวัดภูเก็ตจึงมาจากธุรกิจการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร บริษัทท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึก นอกจากนี้รายได้ของจังหวัดยังมาจากการค้าส่งและค้าปลีกผลิตภัณฑ์ทางประมง อาทิ ฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ฟาร์มเลี้ยงหอยมุก และการทำเกษตรกรรม โดยพืชพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่ ยางพารา มะพร้าว มะม่วงหิมพานต์ และสับปะรด 
ซึ่งการประกอบกิจการใด ๆ ก็ตามย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นและส่งผลเสียหายแก่ผู้ประกอบการ ดังนั้นการทำประกันภัยจะเป็นตัวช่วยที่ดีต่อผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต สามารถโอนความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดด้วยการทำประกันภัย ซึ่งจังหวัดภูเก็ตพร้อมให้ความร่วมมือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัยในทุกมิติ 
 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ได้เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่าผู้ประกอบการ SMEs ในทุกประเภทธุรกิจต่างก็มีความเสี่ยงที่หลากหลายและแตกต่างกันไป ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงด้วยการประกันภัยจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ใช้ในการรองรับความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวถึงแม้ธุรกิจในขณะนี้จะมีการฟื้นตัว แต่เนื่องจากกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สายป่านทางธุรกิจไม่ยาว ดังนั้นหากไม่บริหารความเสี่ยงให้ดีแล้วเกิดภัยขึ้นมาก็จะเกิดผลกระทบอย่างมาก สำหรับการทำประกันภัยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก กฎหมายกำหนดให้กิจกรรมนั้น ๆ ต้องมีการทำประกันภัยภาคบังคับไว้ มิเช่นนั้นจะเป็นความผิดตามกฎหมาย เช่น ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ มีกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการทำประกันภัยอยู่ในมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัตินำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์การประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทุกรายต้องจัดให้มีประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุให้แก่ นักท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนให้มีการออกกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยมีเงินเอาประกันภัยกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพ ไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาทต่อคน และกรณีบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทต่อคน ทั้งนี้หากผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวไม่จัดให้มีประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดไว้จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท 
 
นอกจากนี้กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ประกอบการ SMEs ประเภทหอพัก ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องจัดให้มีการประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้พัก และประกาศคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดให้มีการประกันภัยเพื่อคุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้พักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 โดยสำนักงาน คปภ. ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้มีกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้พักในหอพัก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาประกันภัยได้ตามกฎหมาย ซึ่งมีการกำหนดความคุ้มครองการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง และค่ารักษาพยาบาลของผู้พักอันเป็นผลมาจากหอพักเกิดไฟไหม้หรือระเบิด หรือผู้พักถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายร่างกาย โดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในหอพัก รวมทั้งคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวของผู้พักอันเป็นผลมาจากสถานที่ประกันภัยเกิดไฟไหม้ ระเบิด และหากผู้ประกอบกิจการหอพักผู้ใดไม่ปฏิบัติต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท เป็นต้น
 
ประเภทที่ 2 เป็นการทำประกันภัยโดยสมัครใจที่นอกเหนือจากการประกันภัยภาคบังคับตามกฎหมายกำหนดให้ ผู้ประกอบการ SMEs ยังมีทางเลือกในการจัดหาประกันภัยเพื่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับกิจการของตนเองได้หลากหลายรูปแบบ คือ การประกันภัยทรัพย์สินซึ่งคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยธรรมชาติ ลมพายุ น้ำท่วมแผ่นดินไหว หรืออุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย รวมทั้ง อาจเลือกการประกันภัยสำหรับความเสี่ยงต่อภัยใดภัยหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ประกันอัคคีภัยที่ให้ความคุ้มครองหลักต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัตถุที่เอาประกันภัยจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิดของแก๊สที่ใช้เพื่ออยู่อาศัย โดยอาจมีการเพิ่มเติมความคุ้มครองต่อภัยจากน้ำท่วม ลมพายุ หรือแผ่นดินไหว เป็นต้น นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้สนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันภัยออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยส่วนบุคคล เช่น กรมธรรม์ประกันภัยการเดินทาง กรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยที่หลากหลายขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
 
ด้านนายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการโรงแรมหรือที่พักทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ส่วนใหญ่ต้องการทำธุรกิจบนความพึงพอใจและความประทับใจของลูกค้าผู้มาใช้บริการอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อลูกค้าประสบอุบัติเหตุในระหว่างเข้าพักอาศัย หากผู้ประกอบโรงแรมและที่พักอาศัย มีการทำประกันภัยไว้ก็จะทำให้ลูกค้าอุ่นใจและสามารถใช้เป็นเครื่องบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก โดย 5 อันดับแรกคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซีย อินเดีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอังกฤษ ดังนั้นการลงพื้นที่ให้ความรู้ของสำนักงาน คปภ. ในครั้งนี้ จึงถูกที่ถูกเวลาและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
 
ส่วนนายราชันย์ ชาติสุทธิ ผู้จัดการศูนย์กลุ่ม SMEs ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ กล่าวว่า การลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ของสำนักงาน คปภ. ในครั้งนี้ ทำให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจระบบการประกันภัยมากขึ้น และได้รู้จักบทบาทหน้าที่ของผู้ประกอบการบางประเภทที่จะต้องทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความรู้ที่ได้จากการสัมมนาในครั้งนี้ ตนจะนำไปบอกกล่าวและเผยแพร่ให้กับสมาชิกของกลุ่ม SMEs ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด ได้ตระหนักและตื่นตัวต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงทั้งต่อธุรกิจและลูกค้าผู้ที่เข้ามาใช้บริการในมิติต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคใต้อันดามัน 6 จังหวัด
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำนักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อรองรับความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs 
จากภัยต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือความเสี่ยงต่อความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการเข้ามาติดต่อกับผู้ประกอบกิจการโดยเหมาะสมกับสภาพความเสี่ยงของธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อมที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท และวิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 ล้านบาท หรือที่เรียกว่า กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs Package โดยรวบรวมความคุ้มครองไว้ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการโดยอาจมีความคุ้มครองหลักสำหรับการประกันอัคคีภัยซึ่งอาจรวมถึงภัยเพิ่มเติม หรือการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และขยายความคุ้มครองเพิ่มเติม เช่น การประกันภัยเงินทดแทนการสูญเสียรายได้ ซึ่งให้ความคุ้มครองในกรณีที่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากการประกันภัยในหมวดความคุ้มครองหลัก การประกันภัยโจรกรรมซึ่งให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือเสียหายต่อทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากการลักทรัพย์ การชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ รวมถึงความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากกรณีดังกล่าว การประกันภัยสำหรับเงิน ซึ่งให้ความคุ้มครองเงินสดขณะอยู่ในสถานที่เอาประกันภัยหรือขณะทำการขนส่งจากการลักทรัพย์ การชิงทรัพย์ หรือการปล้นทรัพย์ การประกันภัยสำหรับกระจก การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยอุบัติเหตุหรือ การประกันภัยสุขภาพสำหรับพนักงาน การประกันภัยป้ายโฆษณาซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายของป้ายโฆษณาและความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจากป้ายโฆษณา หรือ การประกันภัยเครื่องจักร เป็นต้น 
 
“การประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยง การประกันภัยจึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหากทุกท่านได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยแล้ว ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงให้กับธุรกิจของท่านและอาจรวมถึงตัวท่านและครอบครัวของท่านด้วย ทั้งนี้หากทำประกันภัยแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม สำนักงาน คปภ. ก็มีหน่วยงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก และสำนักงาน คปภ. ภาคทั้ง 9 ภาค และสำนักงาน คปภ.จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริการแต่อย่างใด ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
.........................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการอบรมโครงการส่งเสริมให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในหัวข้อ "ประกันภัยถูกทาง สร้างเกราะให้ SME"

< >
วันที่เผยแพร่: 
09 December 2565

รายชื่อผู้เข้ารับการอบรมโครงการส่งเสริมให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

ในหัวข้อ "ประกันภัยถูกทาง สร้างเกราะให้ SME"

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2565  เวลา 08.30 - 16.00 น.

ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต

หมวดหมู่ข่าว: 

ไทยประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม นายทะเบียนประกันภัยอาเซียนประจำปี 2565 ครั้งที่ 25

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
09 December 2565

ไทยประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม

นายทะเบียนประกันภัยอาเซียนประจำปี 2565 ครั้งที่ 25 แจ้งเกิดแนวคิดผลิตภัณฑ์ประกันภัยอาเซียนเพื่อความยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีแชร์ข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามกระบวนการฉ้อฉลประกันภัย
 
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนายทะเบียนประกันภัยอาเซียนประจำปี 2565 ครั้งที่ 25 (25th ASEAN Insurance Regulators’ Meeting หรือ AIRM) ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคระหว่าง regulators ด้านประกันภัยของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย และพัฒนาการประกันภัยของแต่ละประเทศ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ของประเทศสมาชิกในด้านพัฒนาการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยและความร่วมมือระหว่างกัน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ณ ห้อง Ballroom 1-2 โรงแรมแชง-กรีลา กรุงเทพฯ ในส่วนของภาคธุรกิจประกันภัยของอาเซียน มีการจัดประชุมสภาธุรกิจประกันภัยอาเซียนครั้งที่ 48 (The 48th ASEAN Insurance Council หรือ AIC) คู่ขนานกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือร่วมกันในการพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัยในอาเซียน นอกจากนี้ในวันที่ 8 ธันวาคม 2565 ยังมีการประชุมร่วมกันระหว่าง AIRM และ AIC (Joint Plenary Meeting) อีกด้วย
 
ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมฯ AIRM ครั้งที่ 25 และการประชุม AIC ครั้งที่ 48 โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ประกันภัยมีบทบาทสำคัญยิ่งในการสร้าง     ความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งระดมเงินออมระยะยาวที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุน รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ช่วยสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกระดับ นอกจากนี้การประกันภัยยังเข้ามามีบทบาทต่อการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนสังคมและประชาชนให้ได้รับโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้นในการจัดประชุมหน่วยงานกำกับและภาคธุรกิจประกันภัยในกลุ่มประเทศอาเซียนครั้งนี้จึงเป็นเวทีที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยรวมถึงความต้องการของภาคธุรกิจประกันภัยในมิติต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือในการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจประกันภัยในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีการพัฒนาการในด้านเทคโนโลยีประกันภัยอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยที่อุบัติใหม่ และส่งผลทำให้ระบบประกันภัยมีความโดดเด่นในเรื่องของการรับประกันภัยจากการเจ็บป่วยด้วยโรคโควิด-19 แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการที่จะต้องใช้เป็นบทเรียนเพื่อปรับปรุงในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ต่อไป ซึ่งตนมองว่าธุรกิจประกันภัยอาเซียนควรหันมาเน้นการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยความยั่งยืนเพื่อรองรับกระแสโลกที่ให้ความสำคัญเศรษฐกิจ ESG เพื่อปรับการบริหารงานขององค์กรให้มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และร่วมกันดูแลภาวะโลกร้อน ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีส่วนดูแลสิ่งแวดล้อม ในส่วนของประเทศไทยได้มีกรมธรรม์ในลักษณะให้ความคุ้มครองทั้งภัยธรรมชาติและประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ซี่งประเทศไทยได้ให้ความคุ้มครองภัยแก่เกษตรกรมานานหลายปีแล้ว ในรูปแบบของการประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ตนอยากให้เวทีการประชุมในครั้งนี้มีการหารือเกี่ยวกับการประกันสุขภาพเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ เพื่อนำไปสู่แนวทางการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพให้มีความรัดกุมและสอดคล้องกับกฎ กติกา ของกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคประกันภัยไทย
 
ด้าน ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ในฐานะประธานการประชุม AIRM เปิดเผยว่าที่ประชุม AIRM ได้หยิบยกประเด็นการประกันภัยที่ยั่งยืน (Sustainable Insurance) ขึ้นเป็นวาระสำคัญของการประชุมฯ ในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของประเทศสมาชิก และได้นำเสนอผลการสำรวจต่อที่ประชุมฯ โดยพบว่า ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประกันภัยพืชผล ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เป็นต้น อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าในการพัฒนาแนวทางการพิจารณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน รวมถึงมาตรการและแรงจูงใจการส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยนำเรื่องความยั่งยืนบรรจุลงในแผนธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ซึ่งการเรียนรู้จากประสบการณ์ของแต่ละประเทศที่มีจุดเด่นแตกต่างกัน จะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนประเด็นในเรื่องนี้
 
ในโอกาสนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้นำเสนอให้มีโครงการฝึกอบรมหัวข้อประกันภัยสุขภาพดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน      ซึ่งประเทศไทย โดยสำนักงาน คปภ. รับเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมให้กับบุคลากรของหน่วยงานกำกับดูแลด้านประกันภัยของอาเซียน ทั้งยังมีโอกาสรายงานให้ประเทศสมาชิกทราบถึงความคืบหน้าและพัฒนาการด้านการส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจประกันภัยผ่านโครงการ Product Innovation and Tailor-Made Sandbox การบรรจุประเด็นด้านความยั่งยืนในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 การจัดตั้งคณะทำงานด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจประกันภัย และการมอบรางวัลแก่บริษัทประกันภัยที่มีการพัฒนาด้านความยั่งยืนในธุรกิจ เป็นต้น
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้ผลักดันโครงการเพื่อยกระดับความยั่งยืนของธุรกิจประกันภัยของอาเซียน  โดยเสนอให้ประเทศสมาชิกร่วมกันศึกษาแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในประเทศสมาชิกอาเซียน ผ่านกลไกการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (Task Force) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของแต่ละประเทศสมาชิก ที่จะร่วมกันศึกษาข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับความยั่งยืนของธุรกิจประกันภัยของอาเซียน และต่อยอดสู่การพัฒนาแผนงานความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมต่อไป โดยสำนักงาน คปภ. เล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก จึงใช้โอกาสในการประชุมครั้งนี้ ผลักดันแนวทางการดำเนินงานด้านการประกันภัยที่ยั่งยืนของอาเซียนให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น อันจะช่วยเสริมสร้างบทบาทของภาคธุรกิจประกันภัยให้ก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนในระดับที่สูงขึ้น 
 
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้กล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีต่อประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการจัดประชุมในครั้งนี้ โดยเฉพาะในการที่สำนักงาน คปภ. ได้ริเริ่มการสำรวจข้อมูลผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ         ความยั่งยืนของประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมริเริ่มแนวทางการยกระดับความยั่งยืนของธุรกิจประกันภัยในอาเซียน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้ประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการส่งเสริมความยั่งยืนของภาคธุรกิจประกันภัย โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบและพร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันข้อริเริ่มที่ไทยนำเสนอ
 
ในโอกาสนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับทราบข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันในประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น    คือ ประเด็นแรก ความคืบหน้าแผนการดำเนินการภายใต้โครงการการบริหารการเงินและการประกันภัยด้านภัยพิบัติ สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Disaster Risk Financing and Insurance: ADRFI) ในระยะที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตัวแพลตฟอร์ม ADRFI-2 ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศสมาชิกในการประเมินและวางแผนลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ 
 
ประเด็นที่ 2 พัฒนาการที่สำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยอาเซียน ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ร่วมนำเสนอพัฒนาการที่สำคัญของประเทศไทย ด้านการพัฒนากรอบการประเมินระดับความพร้อมด้านการรับมือภัย (Cyber Resilience Assessment Framework: CRAF) สำหรับบริษัทประกันภัย เพื่อสนับสนุนการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลของภาคประกันภัยอย่างมั่นคงและปลอดภัย 
 
ประเด็นที่ 3 ความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้พิธีสารฉบับที่ 5 เรื่องกรอบการประกันภัยรถขนส่งสินค้าผ่านแดนภาคบังคับของอาเซียน ซึ่งประเทศสมาชิกอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบ ACMI และเชื่อมโยงระบบ ACMI ภายในประเทศสมาชิกอาเซียน โดยในส่วนของประเทศไทย ได้มีการพัฒนาระบบ ACMI ขึ้นโดยบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ในขณะที่สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการในส่วนของการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานตามพิธีสาร การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ และการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับผ่านแดนอาเซียน
นอกจากการประชุม AIRM และการประชุม AIC แล้ว ยังมีการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในฝั่งของหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ประกอบด้วยการประชุมคณะกรรมการบริหารของ ASEAN Insurance Training and Research Institute (AITRI) ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารร่วมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ตลอดจนการประชุมอบรมเชิงปฏิบัติการ ASEAN Cross-Sectoral Coordination Committee on Disaster Risk Financing and Insurance (ACSCC on DRFI Capacity Building Workshop) และการประชุมคณะทำงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของภาคธุรกิจประกันภัย อาทิ Education Committee Council of Bureaux (COB) ASEAN Natural Disaster Research Work Sharing (ANDREWS) และASEAN Reinsurance Working Group อีกด้วย
โดยในวันที่ 8 ธันวาคม 2565 หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม AIRM และ AIC แล้ว ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างนายทะเบียนประกันภัยอาเซียนกับกรรมการและประเทศสมาชิกของสภาธุรกิจประกันภัยอาเซียน (ASEAN Insurance Council) ภาคธุรกิจประกันภัยอาเซียน ในรูปแบบ Joint Plenary Meeting เพื่อร่วมกันหารือและกำหนดทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัยของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของคณะทำงานชุดต่าง ๆ และได้ข้อสรุปร่วมกันดังนี้
 
ประเด็นที่ 1 เรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งสองภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญร่วมกัน และได้หารือร่วมกันในหลากหลายมิติ ทั้งในเชิงการลงทุนในสินทรัพย์ ESG และพิจารณาความสมดุลทางธุรกิจด้วยการใช้ Taxonomy ทั้งในระดับสากลและอาเซียน เป็นหลักนำในการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ โดยหน่วยงานกำกับและภาคธุรกิจประกันภัยอาเซียนจะร่วมกันเดินหน้าหา Win-win situation ในประเด็นนี้ร่วมกันต่อไป
 
ประเด็นที่ 2 ความท้าทายของการดำเนินการภายใต้พิธีสารฉบับที่ 5 เรื่องกรอบการประกันภัยรถขนส่งสินค้าผ่านแดนภาคบังคับของอาเซียน อาทิ ความแตกต่างของระบบความรับผิดและการชดเชยความเสียหาย การขาดการยอมรับร่วมกัน (mutual recognition) ในการประกันภัยของประเทศอื่น ซึ่งหน่วยงานกำกับและภาคธุรกิจจะร่วมกันเดินหน้าแก้ไขประเด็นข้อท้าทายเหล่านี้ รวมถึงประสานความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างการรับรู้ในหมู่ประชาชนทั่วไปให้มากขึ้น และผลักดันการพัฒนาระบบ ACMI ให้เป็นดิจิทัล (Digitalization) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายประกันภัยรถภาคบังคับผ่านแดนอาเซียน ผ่านช่องทางออนไลน์
 
ประเด็นที่ 3 ผลกระทบเรื่องการฉ้อฉลในการประกันภัย (Fraud in Insurance) และแนวทางการลดปัญหาดังกล่าว โดยให้ความสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูล อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องพิจารณาภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่มีอยู่ด้วย
และประเด็นที่ 4 ที่ประชุมฯ ได้รับทราบพร้อมให้การสนับสนุนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาขององค์กรต่าง ๆ ภายใต้ AIRM และ AIC ได้แก่ AIC, CoB, AIEC, ANDREWS และ Reinsurance Working Committee และแผนการดำเนินงานในปี 2566 รวมถึงรายงานพัฒนาการที่สำคัญของภาคธุรกิจประกันชีวิต และภาคธุรกิจประกันวินาศภัย
 
“การประชุม AIRM ครั้งที่ 25 และการประชุม AIC ครั้งที่ 48 ได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากประเทศไทยสามารถผลักดันประเด็นใหม่ ๆ ให้มีการขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมต่อไปได้ ทั้งนี้ยังมีโอกาสเจรจาทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเพื่อที่จะผนึกกำลังกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสามารถบูรณาการความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจและภาคธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคอาเซียน เพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง และยั่งยืน ซึ่งประเด็นใหม่ที่สำนักงาน คปภ. ได้ผลักดันในเวทีนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องผลิตภัณฑ์ประกันภัยอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนให้เกิดความสอดคล้องกันในภูมิภาคและเกิดประโยชน์ต่อคนไทย ตลอดจนเป็นการเพิ่มความร่วมมือในการป้องกันและบริหารความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรื่องการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนผู้เอาประกันภัยและภาคธุรกิจประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
……………………………………….
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. ก้าวสู่ผู้นำการให้บริการดิจิทัลภาครัฐ คว้ารางวัลในงานรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2565 “DG Awards 2022” ประเภท “หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)” ด้วยคะแนนรวมจัดอยู่ในกลุ่ม Very High

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
30 November 2565

สำนักงาน คปภ. ก้าวสู่ผู้นำการให้บริการดิจิทัลภาครัฐ คว้ารางวัลในงานรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2565 “DG Awards 2022” ประเภท “หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)” ด้วยคะแนนรวมจัดอยู่ในกลุ่ม Very High

 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลระดับกรม “หน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)” ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในงานมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2565 "Digital Government Awards 2022" ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นรางวัลที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. พิจารณามอบให้กับส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐที่มีการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลในระดับสูง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้ผลคะแนนจากโครงการสำรวจระดับความพร้อมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐ
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า รางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2565 สพร. ได้ดำเนินการสำรวจระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้น 1,935 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐส่วนกลาง จำนวน 324 หน่วยงาน หน่วยงานภาครัฐส่วนภูมิภาค จำนวน 1,609 หน่วยงาน ครอบคลุม 76 จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จำนวน 2 หน่วยงาน โดยสำนักงาน คปภ.ได้รับรางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) คะแนนรวมจัดอยู่ในกลุ่ม Very High ซึ่งวัดจากระดับความพร้อมการพัฒนาด้านดิจิทัลรายตัวชี้วัด (Pillar) 6 ตัวชี้วัด สำหรับตัวชี้วัดที่โดดเด่นที่สุดของสำนักงาน คปภ. คือ Pillar 5 : วัดผลด้านโครงสร้างพื้นฐานความมั่นคงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ (Secure and Efficient Infrastructure) โดยได้คะแนนสูงถึง 97.50% ลำดับถัดมาคือ Pillar 1 : วัดผลด้านแนวนโยบายและหลักปฏิบัติ (Policies and Practices) โดยได้คะแนนสูงถึง 93.41% จึงเป็นการการันตีถึงความสำเร็จและความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการยกระดับการให้บริการด้านการกำกับดูแล และการสร้างธรรมาภิบาลด้านการดูแลข้อมูล (Data Governance) รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรในด้านข้อมูลเป็นสำคัญ โดยให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization) อย่างแท้จริง ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้มีการนำเทคโนโลยี Big Data เข้ามาช่วยยกระดับในการอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพแก่ภาคธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการช่วยขับเคลื่อนการปฏิบัติงานไปสู่รัฐบาลดิจิทัลได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
 
“เป็นที่น่ายินดีที่สำนักงาน คปภ. ได้รับรางวัลดิจิทัลต่อเนื่องจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ติดต่อกันมาเป็นปีที่สองแล้ว โดยปีที่แล้วได้รับรางวัลประเภท “พัฒนาการดีเด่นหน่วยงานระดับกรมที่จัดทำนโยบาย กำกับ ดูแล ประสานงาน หรืออื่น ๆ เป็นหลัก” และปีนี้ได้รับรางวัล ประเภท“รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)” ซึ่งรางวัลที่สำนักงาน คปภ. ได้รับในครั้งนี้ แสดงถึงความสำเร็จในระดับหน่วยงานที่พัฒนาคุณภาพการสนับสนุนการดำเนินการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การบริหารจัดการข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผมขอขอบคุณบอร์ด คปภ. ผู้บริหารและพนักงานสำนักงาน คปภ. ตลอดจนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่เป็นกำลังสำคัญทำให้สำนักงาน คปภ. สามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ได้ โดยสำนักงาน คปภ. จะมุ่งมั่นทำงานและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง จะบูรณาการกับทุกภาคส่วน พร้อมรับข้อเสนอแนะเพื่อนำมาพัฒนามาตรฐานการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น และจะดำเนินการยกระดับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ การเตรียมแผนฟื้นฟูภัยพิบัติ (Disaster Recovery Plan : DR plan) และการจัดทำแผนจัดการเหตุการณ์ผิดปกติ (Incident Management Process) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยและสังคมต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
………………………………………………………
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. เปิดเวทีสัมมนาวิชาการด้านประกันภัย “Thailand Insurance Symposium 2022”

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
26 November 2565

 

คปภ. เปิดเวทีสัมมนาวิชาการด้านประกันภัย “Thailand Insurance Symposium 2022” • ชูผลงานทางวิชาการเรื่องประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของหน่วยงานภาครัฐเป็นผลงานดีเด่นแห่งปี เผยเล็งนำไปต่อยอดเพื่อขยายผลในทางปฏิบัติต่อไป

 

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดเวทีสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัย ประจำปี .. 2565 หรือ “Thailand Insurance Symposium 2022” ภายใต้แนวคิด “Thai Insurance Industry at Crossroads: Digitalization, Cyber Risk and Sustainable Growth” จัดโดยสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งจัดในรูปแบบ hybrid มีผู้เข้าร่วมประชุม ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา คู่ขนานกับผู้เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ online โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันภัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ตลอดถึงการบริหารความเสี่ยงต่าง จากสภาวการณ์ของธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ซึ่งในการสัมมนามีการนำเสนอผลงานทางวิชาการที่ได้รับรางวัลของนักศึกษาหลักสูตร วปส. 10 และการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิชั้นนำจากหลากหลายวงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และให้ข้อเสนอแนะระหว่างกัน เพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือและนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยและประยุกต์ใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันเรากำลังเผชิญกับบริบทโลกที่ท้าทายภายใต้ความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงต่าง ไม่ว่า ด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด การเชื่อมต่อฐานข้อมูลในโลกไร้พรมแดน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติ และความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risks) ก่อนหน้านี้คำว่า VUCA WORLD ถูกพูดถึงอย่างมาก แต่โลกหลังวิกฤติโควิด-19 เรากำลังเข้าสู่ยุค BANI WORLD ซึ่งเป็นมากว่าสถานการณ์ผันผวน,ไม่แน่นอน,ซับซ้อน,คลุมเครือ ที่ถูกพูดถึงใน VUCA แต่จะเป็นการมองไปถึงผลกระทบด้านอารมณ์ของคน" ด้วย BANI WORLD ประกอบด้วย B คือ Brittle เปรียบเสมือนโลกที่เปราะบาง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งต่าง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจอาจถูก Disrupt ได้ตลอดเวลา A คือ Anxious เปรียบเสมือนโลกที่เต็มไปด้วยความกังวล อะไร ก็เกิดขึ้นได้ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกังวลตลอดไป แม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินใจก็ตาม N คือ Nonlinear เป็นโลกที่ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ไม่เป็นเส้นตรง ในขณะที่โลกดำเนินไปจะมีปัจจัยแทรกซ้อนหรือสถานการณ์อื่น เข้ามาส่งผลกระทบแบบที่เราไม่รู้มาก่อน การคาดเดาจึงเกิดขึ้นได้ยาก เราจึงไม่สามารถมองเห็นแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ และ I คือ Incomprehensible เป็นโลกที่เข้าใจได้ยาก ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีความชัดเจน อาจต้องใช้สัญชาตญาณช่วยในการหาคำตอบและทำความเข้าใจสิ่งต่าง BANI World จึงเปรียบเสมือนเป็นการรวบรวมเอา VUCA World, Digital Disruption, สังคมสูงวัย และโรคอุบัติใหม่ เข้ามาไว้รวมกัน จนทำให้โลกของเราเป็นโลกที่เปราะบาง เต็มไปด้วยความกังวล เข้าใจได้ยาก และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เราจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นคำถามที่เราจะต้องหาคำตอบไปด้วยกัน และสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบประกันภัยเป็นกลไกในการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบ และเป็นเหตุผลที่ธุรกิจประกันภัยอยู่บนทางแยกที่จะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่นี้

 

สำหรับผลงานทางวิชาการของนักศึกษาหลักสูตร วปส. 10 ที่มีการนำเสนอในเวทีสัมมนาวิชาการครั้งนี้ คือ ผลงานที่ได้รับรางวัลระดับดีเด่นเรื่อง แนวทางการทำประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของหน่วยงานภาครัฐ โดยผู้นำเสนอ คือ คุณกฤดา กฤติยาโชติปกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร กรมสรรพากร และได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยวดี โขวิฑูรกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎหมาย บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้วิพากษ์ผลงาน

 

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอผลงานที่ได้รับรางวัลระดับดีโดยผู้นำเสนอ คือ คุณกฤตยา รามโกมุท ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกิจการทั่วไป บริษัท โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด จำกัด, คุณนัทธกัญญ์ แซ่ก้วย ผู้อำนวยการอาวุโสเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ คุณทวีพงษ์ เกียรติธนะบำรุง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไพศาลกิจ (1995) จำกัด เรื่อง การพัฒนา Digital Game เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการประกันชีวิตให้กับประชาชน ซึ่งได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ณดา จันทร์สม อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นผู้วิพากษ์ผลงาน

 

ส่วนผลงานที่ได้รับรางวัลระดับชมเชยมี 2 รางวัล ได้แก่ เรื่อง การศึกษากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยใช้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ-จ่าย-จบเป็นกรณีศึกษาและเรื่องผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมสูงวัย (Silver Smile) ซึ่งในโอกาสนี้ ได้มีการมอบรางวัลผลงานวิชาการทั้ง 4 รางวัลด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยซึ่งเป็นผู้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงาน คปภ. ภายใต้โครงการโครงการ InsurTech แพลตฟอร์มส่งเสริมและตรวจสอบการซื้อขายการประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนโดย ผศ.ดร.ณัฐกรณ์ ผิวชื่น มหาวิทยาลัยมหิดล โดยงานวิจัยดังกล่าว จะเป็นการสร้างนวัตกรรมแอปพลิเคชันคปภ. เคียงข้างซึ่งเป็นแพลตฟอร์มส่งเสริมและตรวจสอบการซื้อขายประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน โดยตรวจสอบคำพูดระหว่างการซื้อขายกรมธรรม์ประกันภัยว่ามีแนวโน้มกระทำผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ทั้งในกรณีผ่านระบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เปรียบเสมือนมี คปภ. อยู่เคียงข้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและอุตสาหกรรมประกันภัย ในขณะเดียวกันผลงานชิ้นนี้ยังมีความสอดคล้องและต่อยอดกับสิ่งที่สำนักงาน คปภ. กำลังดำเนินการเกี่ยวกับระบบรายงานพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย เพื่อให้เชื่อมกับฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (IBS) และเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ โดยจะนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ ติดตาม และตรวจจับพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉล เพื่อดำเนินการกับกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงทีและลดโอกาสเกิดการฉ้อฉลประกันภัย

 

สำหรับการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในประเทศและวิทยากรต่างประเทศ ได้แก่ หัวข้อ “Initiative to Promote Cyber Insurance Case Study of the Philippines” โดย Mr. Alexander Reyes, Ex-senior Vice President, National Reinsurance Corporation of the Philippines (NatRe) หัวข้อ “ESG recent development in Insurance Sector & What does matter to us here?” โดย Mr.Johann Dutoit, Chief Investment Officer, AIA Thailand และ Mr.Duncan Lee, Director, Investment Environmental, Social & Governance, Group Investment, AIA Group และ หัวข้อ “Insurance Reimagined by Showcasing Transformation with Digital Technologies” โดยคุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์, กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และ คุณวิไลพร ทวีลาภพันทอง, หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษาและหัวหน้ากลุ่มธุรกิจ บริการทางการเงิน บริษัท PwC (ประเทศไทย) จำกัด

 

การจัดงานสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัย ประจำปี .. 2565 หรือ “Thailand Insurance Symposium 2022” ในครั้งนี้มีความโดดเด่นกว่าปีก่อน เนื่องจากหัวข้อที่มีการนำเสนอเป็นประเด็นที่ร่วมสมัย และสอดคล้องกับบริบทใหม่ของระบบประกันภัยของไทยที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการรองรับความเสี่ยงที่อุบัติใหม่ และเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาทั้งจากภาคธุรกิจประกันภัย ภาคธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ และภาคธุรกิจอื่น แลกเปลี่ยนมุมมองและเชื่อมต่อการทำงานผ่านการสร้างพันธมิตรในการประกอบธุรกิจซึ่งกันและกัน อันจะส่งผลให้เกิดการเติบโตแบบยั่งยืนของธุรกิจประกันภัยและเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันทั้งในภาคส่วนธุรกิจประกันภัยและธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับผลงานวิชาการที่ได้รับรางวัลซึ่งจะมีการนำไปต่อยอดขยายผลในทางปฏิบัติต่อไปเลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 

หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศ สำนักงาน คปภ. เรื่อง ทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย ตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559

< >
วันที่เผยแพร่: 
15 November 2565

 

          สำนักงาน คปภ. ได้รับสมัครบุคคลภายนอกเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย ตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 และคัดเลือกผู้เข้ารับการอบรมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและได้รับคะแนนสูงสุดใน 80 ลำดับแรก เมื่อนำคะแนนทดสอบและสอบสัมภาษณ์มารวมกัน เพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการเพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยแทนทะเบียนรายชื่อเดิม จึงประกาศทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย จำนวน 80 ราย (เรียงลำดับตามตัวอักษร) ตามรายชื่อแนบท้ายประกาศนี้

หมวดหมู่ข่าว: 

เลขาธิการ คปภ. กำหนดเข็มทิศ 9 มาตรการ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยปี 2566

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
08 November 2565

เลขาธิการ คปภ. กำหนดเข็มทิศ 9 มาตรการ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยปี 2566

 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยถึงทิศทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยปี 2566 ในงาน Press Conference : Strategic Themes and Trends of Insurance Supervision in 2023 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ณ เดอะทรี ริเวอร์ไซต์ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี 
โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า ทิศทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในปี 2566 สำนักงาน คปภ. จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน คือ การเสริมเกราะป้องกัน หรือ Resilience ให้กับภาคธุรกิจ เพื่อให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน
ได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะขับเคลื่อนผ่าน 9 มาตรการหลัก ดังนี้
มาตรการที่ 1 เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันภัยให้มีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนอง
ต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที มีฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยสำนักงาน คปภ. ได้ให้บริษัทประกันภัยจัดทำประมาณการความเพียงพอของเงินกองทุน ในขณะเดียวกันได้ส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัย
มีธรรมาภิบาลและการบริหารความเสี่ยงที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัย
ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การพิจารณา
รับประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยไปจนถึงการจัดการค่าสินไหมทดแทน 
 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการและกำหนดแผนการรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย (IFRS17) เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาการเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการสำหรับงวดบัญชีที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยและได้สื่อสารให้บริษัทประกันภัยทราบเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการเตรียมความพร้อมการจัดทำร่างประกาศเกี่ยวกับแบบงบการเงินเพื่อรองรับมาตรฐาน IFRS17 คณะกรรมการ คปภ. ได้เห็นชอบร่างประกาศ คปภ. ที่กำหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน IFRS17 จำนวน 6 ฉบับ แล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ โดยในปี 2566 สำนักงาน คปภ. มีแผนที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อรองรับการยื่นงบการเงิน รวมทั้งรายงานฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทประกันภัย (รายงาน XML) รูปแบบใหม่อีกด้วย
 
มาตรการที่ 2  ปรับปรุงกฎกติกาหรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เน้นให้เป็น Principle-based มากขึ้น เพิ่มเติมมาตรการและแนวทางให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการเติบโตในระยะยาว และปรับพอร์ตการรับประกันภัยให้มีความสมดุล พร้อมกับการยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยไปอีกขั้น 
ให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่สำคัญ และสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ในมิติของการกำกับดูแลเชิงมหภาค โดยเพิ่มน้ำหนักในการติดตาม ประเมินสถานการณ์ และแนวโน้มต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ด้วยการทำ Stress Test และ Scenario Analysis เพื่อให้ระบุจุดเปราะบาง ดักจับความเสี่ยง กำหนดแนวทางป้องกัน และลดผลกระทบต่าง ๆ ได้ทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น 
 
มาตรการที่ 3 ยกระดับกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการถอดบทเรียนจากประกันโควิดแบบเจอ-จ่าย-จบ โดยเพิ่มบทบาทนักคณิตศาสตร์ประกันภัย และคณะกรรมการย่อย เช่น Product Governance Committee และ Risk Management Committee 
ในส่วนของทิศทางการกำกับดูแลต่อไป สำนักงาน คปภ. จะยกระดับการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและมีความสามารถในการรับความเสี่ยงภัยที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยจะอัพเกรด  Insurance Regulatory Sandbox (IRS) และ โครงการ Product Innovation and Tailor-Made Sandbox (TMS) สู่ New Version คือ Smart Sandbox ซึ่งจะเป็นการศึกษาผลการดำเนินงานและผลตอบรับของโครงการ IRS และ TMS 
เพื่อนำมาวิเคราะห์ พัฒนา ปรับปรุง ออกแบบวิธีการประเมินและกำหนดกรอบการประเมินโครงการที่เข้าร่วมทดสอบ 
ที่ชัดเจน รวมถึงกฎระเบียบที่จำเป็นต้องให้หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการดึงดูดภาคธุรกิจให้สมัครเข้าร่วมการทดสอบนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจัดให้มีการมอบรางวัล Smart Sandbox of the Year ให้กับบริษัทที่มีแนวคิดที่น่าสนใจ 
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดรับกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความต้องการของประชาชน อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย และการประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งมีเงื่อนไขความคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย รวมไปถึงการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แตกต่างจากประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบัน โดยได้หารือรูปแบบการประกันภัยที่เหมาะสมร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย
 
มาตรการที่ 4 กระตุ้นให้ธุรกิจประกันภัยมีการประยุกต์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างจริงจัง 
โดยจะดำเนินการดังนี้ มีการศึกษาแนวทางเพื่อกำหนดให้บริษัทประกันภัยมีมาตรฐานกลางในการใช้เทคโนโลยี
ในกระบวนการสำคัญ รวมถึงใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และทันเหตุการณ์มากขึ้น และมีการพัฒนาฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย ซึ่งในอนาคตจะต่อยอดสู่การจัดตั้งศูนย์บริหารข้อมูลด้านการประกันภัยแห่งชาติ (National Insurance Bureau: NIB) มีการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูล OIC Gateway ระยะที่ 2 ที่จะขยายผลจาก My Policy สู่ My Portfolio ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลแก่ประชาชน สำหรับการวางแผนการเงินและการประกันภัย พร้อมกับเชื่อมโยงบริการกับหน่วยงานภาครัฐอื่น 
ในขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาฐานข้อมูลภายใน และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการวิเคราะห์ และตรวจสอบบริษัทประกันภัย เพื่อยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มบทบาทของศูนย์ CIT ในการขยายเครือข่าย Insurtech ของไทยไปสู่ต่างประเทศ พร้อมกับเชื่อมโยงและดึงดูดให้ Tech firms และ Startups ต่างประเทศที่น่าสนใจ เข้ามาขยายธุรกิจและสร้างพันธมิตรกับธุรกิจไทยมากขึ้น ผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งาน Thailand InsurTech Fair ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลและบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ควบคู่ไปกับพัฒนาเครื่องมือในการประเมินระดับความพร้อมของบริษัทประกันภัย (Cyber Resilience Assessment framework: CRAF) พัฒนาความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรในธุรกิจ และขยายขอบเขตการวิเคราะห์และตรวจสอบบริษัทประกันภัย ให้ครอบคลุมถึงการประเมินประสิทธิภาพและความพร้อมของบริษัทในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน Cybersecurity และ IT risk เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจประกันภัยจะมีความพร้อมรับมือความเสี่ยงและภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้  
 
มาตรการที่ 5 ผลักดันให้ประกันภัยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน โดยจะดำเนินการ ดังนี้ 
มีการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และพัฒนาสื่อความรู้ใหม่ ๆ เช่น เกมส์ออนไลน์ และบอร์ดเกมส์ 
ที่มีรูปแบบที่น่าสนใจและให้ประชาชนเรียนรู้โดยการทดลองด้วยตนเองและเข้าใจง่าย รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินโครงการ 1 ภาค 1 ผลิตภัณฑ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยจะเชื่อมโยงกับโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายบทบาทของระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนได้เพิ่มขึ้นและตรงความต้องการ รวมทั้งเร่งยกระดับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย โดยต่อยอดระบบสารสนเทศที่ใช้ในกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนด้านการประกันภัย มาสู่ระบบ E-Arbitration เพื่อใช้ในการบริหารจัดการคดี และสนับสนุนกระบวนการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ 
นอกจากนี้ยังมีการถอดบทเรียนข้อร้องเรียนที่ผ่านมา เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย จนถึงการจัดการค่าสินไหมทดแทน และทบทวนการตีความข้อสัญญาต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน จะเป็นการช่วยลดข้อร้องเรียน และสร้างเสริมความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยได้อีกทางหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็จะมีการต่อยอดระบบรายงานพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย เพื่อให้เชื่อมกับฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (IBS) และเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ โดยจะนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ ติดตาม และตรวจจับพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉล เพื่อให้สามารถดำเนินการกับกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที และลดโอกาสเกิดการฉ้อฉลประกันภัยในอนาคต อันจะเป็นการดูแลประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้ระบบประกันภัยให้เติบโตได้อย่างความมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนผลักดันและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการส่งเสริมให้มีการพัฒนา sustainable insurance products โดยจะหยิบยกหารือในเวทีการประชุม AIRM ในเดือนธันวาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ จะมีการกำหนดมาตรการจูงใจให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการ ESG และการส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่คำนึงถึงธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม
 
มาตรการที่ 6 ขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย โดยร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งผ่านการรับฟังความคิดเห็นเป็นการทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน คปภ. และได้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว 
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 โดยมีการประชุมร่วมกับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองร่างกฎหมายในกระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 และจะมีการเสนอร่างกฎหมายทั้งสองฉบับต่อที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ.กลุ่มที่ 3 ซึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการ และร่าง พ.ร.บ. ประกันภัยทางทะเล อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีความคืบหน้าค่อนข้างมาก
 
มาตรการที่ 7 ส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เผยแพร่องค์ความรู้ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประกันภัยในยุค New Normal โดยปรับปรุงหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) และหลักสูตรการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย และจะพัฒนาหลักสูตรเพิ่มเติมให้มีความเข้มข้นขึ้น ครอบคลุมทุกองค์ความรู้ที่จำเป็น พร้อมกับการขยายพื้นที่ของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงให้สามารถรองรับการจัดอบรมและกิจกรรมการต่าง ๆ ได้เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น
 
มาตรการที่ 8 การบูรณาการความร่วมมือด้านการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัยให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยการสร้างความร่วมมือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องด้านการประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัยนิติบุคคล และที่สำคัญที่สุด คือ สื่อมวลชนทุกประเภท เพื่อสื่อสารข้อมูล ข่าวสาร แนวทางการดำเนินงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ของสำนักงาน คปภ. ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อสารให้ประชาชนทราบข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัย เช่น กิจกรรมเพื่อสังคม CSR “ขยายการสื่อสาร ขยายกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัย”
 
มาตรการที่ 9  การพัฒนาสำนักงาน คปภ. เพื่อมุ่งสู่การเป็น SMART OIC ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ด้วยกัน กล่าวคือ ในส่วนของภาคธุรกิจประกันภัยนั้น บริษัทประกันภัย สามารถใช้งานระบบ Eco System ในการขอความเห็นชอบแบบกรมธรรม์ประกันภัย โดยขณะนี้ได้เริ่มใช้ระบบดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบ SERFF ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีการใช้ระบบ BIS (Business Investment System) ในการนำส่งข้อมูลเพื่อพิจารณาคำขอต่าง ๆ เกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทประกันภัย เช่น การขอวางหรือคืนเงินสำรองประกันภัย การขออนุญาตลงทุน เป็นต้น รวมทั้งตั้งเป้าหมายให้คนกลางประกันภัยสามารถเริ่มใช้งานระบบ E-Licensing ได้เต็มรูปแบบภายในกลางปี 2566 ในส่วนของภาคประชาชน  มีการพัฒนา chatbot คปภ. รอบรู้ ให้สามารถให้บริการได้ครอบคลุมมากขึ้น และพัฒนารูปแบบการยืนยันตัวตน การสืบค้นข้อมูลกรมธรรม์ และพัฒนาต่อยอดระบบ PPMS เดิม เพื่อให้บริการภาคประชาชนให้เข้าถึงระบบรับเรื่องร้องเรียนและกระบวนงานระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ (E - Arbitration) อย่างครบวงจร
 
ในส่วนของสำนักงาน คปภ. มีการนำผลการทบทวนกระบวนการที่สำนักงานได้ดำเนินการแล้ว (Business Process Improvement Roadmap) มาเชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรมองค์กร เพื่อการพัฒนาทางเทคโนโลยี (Enterprise Architecture) และปรับปรุงกระบวนการทำงานของทุกหน่วยงานภายในสำนักงานอย่างเต็มรูปแบบ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างการทำงานและทบทวนบทบาทหน้าที่ภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและสามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้เร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบวนการการบริหารความเสี่ยงในการกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. ในด้านอื่น ๆ เช่น กระบวนการวิเคราะห์ตรวจสอบเพื่อให้ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ต่อยอดระบบ fraud detection ให้สามารถตรวจจับเคสผิดปกติได้ ตลอดจนจัดทำ Intelligence Dashboard โดยใช้ข้อมูลจาก IBS และระบบงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น PPMS เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นต้น 
 
“ผมเชื่อมั่นว่าทั้ง 9 มาตรการที่สำนักงาน คปภ.กำหนดไว้เพื่อใช้เป็นเข็มทิศในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัยในปี 2566 จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ และส่งผลทำให้ธุรกิจประกันภัยเข้าไปนั่งอยู่ในใจประชาชน โดยสามารถนำระบบประกันภัยใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
......................................................................
หมวดหมู่ข่าว: 

สำนักงาน คปภ. จัดพิธีถวายพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
01 November 2565

สำนักงาน คปภ. จัดพิธีถวายพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เพื่อน้อมนำไปถวายแด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565 โดยมี ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธี อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 ถวายแด่พระสงฆ์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้างของสำนักงาน คปภ. ตลอดจนผู้บริหารจากภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ตัวแทนของคณะนักศึกษาและศิษย์เก่า Super วปส. และวปส. รุ่นต่าง ๆ ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมพิธี โดยมีนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เกียรติร่วมพิธีดังกล่าว
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สำนักงาน คปภ. ประจำปี 2565 วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า สำนักงาน คปภ. ได้ถวายปัจจัยเพื่อสมทบองค์ผ้าพระกฐิน เป็นจำนวนเงิน 6,808,205.48 บาท (หกล้านแปดแสนแปดพันสองร้อยห้าบาทสี่สิบแปดสตางค์) และเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาทั้งคณะผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้างของสำนักงาน คปภ. ภาค/จังหวัดทั่วประเทศ ภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ตัวแทนของคณะนักศึกษา Super วปส. นักศึกษา วปส. รุ่นต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไป ร่วมถวายปัจจัยเพื่อสมทบองค์ผ้าพระกฐิน เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามให้มั่นคงถาวร พร้อมสืบทอดเจตนารมณ์ในการเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลระบบประกันภัยของไทยที่ให้ความสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยให้เจริญรุ่งเรือง และเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมต่อไป 
 
ในโอกาสนี้ สำนักงาน คปภ. ได้จัดทำหนังสือที่ระลึกพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วยประวัติของวัดเสนาสนารามราชวรวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาวัดเสนาสนาราม เมื่อ พ.ศ. 2406 เดิมชื่อ "วัดเสื่อ" สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสอดแทรกเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการประกันภัยอย่างครบถ้วน อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในด้านวิชาการประกันภัย เพื่อศึกษาและนำระบบประกันภัยมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัยให้กับตนเองและครอบครัวอย่างครบวงจร 
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้รวมพลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและนักศึกษา วปส. จัดกิจกรรม “สำนักงาน คปภ. รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษา” โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยได้รวมใจเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ส่งมอบอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และสิ่งของจำเป็น เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนของโรงเรียน รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงด้านทักษะกีฬาให้กับนักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนของชาติ สำหรับสิ่งของที่บริจาคประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 50 เครื่อง พัดลม 20 เครื่อง หมวกกันน็อค 50 ใบ อุปกรณ์กีฬา ได้แก่ ลูกฟุตบอล 30 ลูก ลูกวอลเลย์บอล 30 ลูก และอุปกรณ์ของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็น และบำรุงโรงเรียนภายใต้การอุปถัมภ์ของวัดเสนาสนารามราชวรวิหารจำนวน 3 โรงเรียน รวมเป็นเงิน 130,000 บาท ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดเสนาสนาราม โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ และโรงเรียนประชาศึกษา (เคี้ยงฮั้ว) เพื่อช่วยเหลือเติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของสำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการศึกษา
 
  “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ได้ส่งเสริมและผลักดันให้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารความเสี่ยง และสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน พร้อมให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยให้เจริญรุ่งเรือง ควบคู่กับการดำเนินกิจกรรม CSR เพื่อตอบแทนสังคม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน และการปลูกฝังความเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคมให้แก่บุคลากรในองค์กร เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การจัดพิธีดังกล่าวเป็นไปตามมติของมหาเถรสมาคม เรื่องการกำหนดมาตรการปฏิบัติในพิธีถวายผ้าพระกฐิน/กฐิน ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และขออนุโมทนาบุญแก่ภาคธุรกิจประกันภัย บุคลากรของสำนักงาน คปภ. ตลอดจนผู้มีจิตกุศลทุกท่านที่ร่วมทำบุญใหญ่ครั้งนี้ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงและความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
 
………………………………………………………..
หมวดหมู่ข่าว: 

คปภ. คัดเลือกเข้มข้นเพื่อเฟ้นหา “ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประกันภัย”ชุดที่ 4

< >
<
>
วันที่เผยแพร่: 
30 October 2565

 คปภ. คัดเลือกเข้มข้นเพื่อเฟ้นหา “ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประกันภัย”ชุดที่ 4

ไกล่เกลี่ยสำเร็จ คิดเป็นร้อยละ 78.45 เผยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันวินาศภัย “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” มาเป็นอันดับ 1 ส่วนประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันชีวิต “การบอกล้างสัญญาประกันชีวิต กรณีไม่แถลงข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” ขึ้นแท่นแชมป์
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว
เลขาธิการ คปภ. กล่าวตอนหนึ่งว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ดำเนินการภายใต้ระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัย ให้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยและเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นการเพิ่มทางเลือกอีกทางหนึ่งให้กับประชาชนที่จะระงับข้อพิพาทด้านการประกันภัยให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ และเป็นการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากความพึงพอใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย (win-win) โดยผู้ไกล่เกลี่ยชุดที่หนึ่ง ที่ตั้งตามระเบียบฯ ไกล่เกลี่ย มีจำนวน 40 คน ซึ่งครบอายุ 2 ปี 
ไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 ชุดที่สอง จำนวน 50 คน ซึ่งครบอายุ 2 ปี เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 และมีการประกาศขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่ 3 จำนวน 60 คน โดยครบอายุ 2 ปี ไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 
โดยระเบียบไกล่เกลี่ยฯ ให้ถือว่า ผู้ขึ้นทะเบียนรายชื่อเดิมยังคงเป็นผู้ขึ้นทะเบียนรายชื่ออยู่จนกว่าทะเบียนรายชื่อใหม่จะแล้วเสร็จ  
 
สำหรับการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่สี่ ครั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ใช้แนวทางในการคัดเลือกเช่นเดียวกับการคัดเลือกผู้ไกล่เกลี่ย ชุดที่สาม โดยกำหนดให้มีการอบรมความรู้กฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัยก่อน เพื่อปูพื้นความรู้ทางด้านประกันภัยให้กับผู้สมัครซึ่งมีทักษะทางด้านไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว แต่อาจไม่มีความชำนาญด้านประกันภัย จากนั้นจึงจัดให้มีการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ ก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการต่อไป ในการดำเนินการดังกล่าวได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำหลักสูตรการอบรมสำหรับผู้ประสงค์จะยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่
ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ โดยมีท่านอาจารย์โชติช่วง ทัพวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการไกล่เกลี่ยและเป็นอดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ได้ให้เกียรติเป็นกรรมการ 
 
ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ ตนได้ให้นโยบายเพิ่มจำนวนผู้ไกล่เกลี่ยชุดใหม่ จากเดิม 60 คน เป็น 80 คน เพื่อเป็นการสำรองรายชื่อผู้ไกล่เกลี่ยในกรณีมีเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ไกล่เกลี่ยลดลง เช่น การลาออก หรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ที่ประสงค์จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. อีกด้วย
 
ทั้งนี้ หลักสูตรการจัดอบรมในครั้งนี้มีจำนวน 3 วัน ระหว่างวันที่ 28 - 30 ตุลาคม 2565 ประกอบด้วย หลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยและแนวทางการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย กฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย ประกาศ ระเบียบ และคำสั่งนายทะเบียนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และกฎ ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ปัญหาข้อร้องเรียนด้านการประกันภัยที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและจริยธรรมพึงมีของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และสาระสำคัญของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเชิงพุทธ หลังจากอบรมเสร็จแล้วต้องมีการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกจาก จำนวน 109 คน ให้เหลือ 80 คน เพื่อขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) ในการทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยต่อไป
 
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 ซึ่งถือเป็นศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา 
มีเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการทั้งสิ้น 1,531 เรื่อง โดยไกล่เกลี่ยสำเร็จเป็นจำนวน 1,201 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 78.45 ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีพอสมควร และหวังว่าผู้ไกล่เกลี่ยชุดที่สี่จะทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้จากการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการที่ผ่านมา ประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันวินาศภัย
ที่มีการร้องเรียนเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ประเด็นเรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 80ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ลำดับต่อมา ได้แก่ ประเด็นเรื่องค่าซ่อมรถ และค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บ สำหรับประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับประกันชีวิตที่มีการร้องเรียนเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ประเด็นการบอกล้างสัญญาประกันชีวิต กรณีไม่แถลงข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 ประเด็นการเรียกร้องเงินผลประโยชน์ตามเอกสารเสนอขาย ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขตามกรมธรรม์ และประเด็นการเสนอขายโดยไม่ได้อธิบายเงื่อนไขและความคุ้มครองให้ชัดเจน ทำให้ผู้เอาประกันภัยหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดในการทำสัญญาประกันชีวิต ตามลำดับ
 
สำหรับการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยของสำนักงาน คปภ. นั้น  ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่ละครั้ง อาจได้รับเรื่องร้องเรียนที่มีประเด็นข้อพิพาทที่ค่อนข้างซับซ้อน มีรายละเอียดค่อนข้างมาก และมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นกฎหมาย ซึ่งผู้ไกล่เกลี่ยบางท่านไม่ใช่นักกฎหมาย จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทในแต่ละครั้งเพื่อดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ให้ทันต่อพัฒนาการต่าง ๆ ด้านประกันภัย ตลอดจนกติกาต่าง ๆ เกี่ยวกับประกันภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นอกจากการพัฒนาองค์ความรู้ให้ทันต่อพัฒนาการต่าง ๆ ด้านการประกันภัยแล้ว ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องพัฒนาตนเองให้มีความก้าวทันเทคโนโลยี เช่น ต้องสามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ตามแนวปฏิบัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับคู่กรณี อีกทั้งยังเป็นการรองรับข้อพิพาทที่ส่งมาจากสำนักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักงาน คปภ. พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยทุกท่านที่อาจพบปัญหาและอุปสรรคบ้างในการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ เช่น สัญญาณอินเทอร์เน็ตขัดข้อง หรือผู้ไกล่เกลี่ยบางท่านอาจไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ โดยในปี 2566 สำนักงาน คปภ. จะจัดทำห้องสำหรับ
ไกล่เกลี่ยออนไลน์โดยเฉพาะ โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยทุกท่าน 
 
“สิ่งที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย คือ การปฏิบัติตนให้เป็นกลาง มีความซื่อสัตย์สุจริตและให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีฝ่ายใดรู้สึกถึงความไม่เป็นกลางหรือเกิดความไม่พึงพอใจ และไม่ควรชี้นำหรือโน้มน้าวคู่กรณีให้เร่งรัดตัดสินใจเพื่อยุติข้อพิพาท โดยจะต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้เป็นผู้ตัดสินใจถึงผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเอง โดยให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจรจาและพูดคุยเพื่อหาข้อยุติประเด็นพิพาทดังกล่าวร่วมกัน เพื่อให้ข้อพิพาทสามารถยุติลงได้ด้วยความพึงพอใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ทำให้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการ เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในที่สุด
.........................................................
 
หมวดหมู่ข่าว: 

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นที่มีสิทธิเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก)

< >
วันที่เผยแพร่: 
25 October 2565

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นที่มีสิทธิเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประสงค์จะสมัครขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการ (บุคคลภายนอก) เพื่อทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย ตามระเบียบสำนักงาน คปภ. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย พ.ศ. 2559

กำหนดการ

วันที่

1. เข้ารับการอบรม  

ณ ห้องวิภาวดี แกรนด์บอลรูม C ชั้น Lobby 

โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 

28 – 30 ตุลาคม 2565 
2. สอบข้อเขียน  
ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 
30 ตุลาคม 2565 
3. สอบสัมภาษณ์ ณ ห้องประชุมสำนักงาน คปภ.   9 พฤศจิกายน 2565 
4. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียนรายชื่อผู้ชำนาญการทางเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. www.oic.or.th 15 พฤศจิกายน 2565 

 

หมวดหมู่ข่าว: 

Pages

Subscribe to RSS - ข่าว